ตอนที่ 27 ตงป๋อเสวี่ยอิงชั้นสมญา?
“นี่เป็นของชิ้นสุดท้ายแล้ว และเป็นเครื่องมือนักเวทย์ชิ้นสำคัญที่สุดเช่นกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงหยิบจี้ห้อยชิ้นหนึ่งขึ้นมา เมื่อเปิดฝาจี้ออก ด้านในก็มีลูกกลมโปร่งใสอยู่ “มันสามารถเก็บสะสมพลังเวทย์ไว้ได้ มากที่สุดก็สามารถสะสมไว้ได้เท่ากับพลังเวทย์ทั้งหมดของนักเวทย์ชั้นฟ้าผู้หนึ่ง อย่างไรเสีย พลังเวทย์ของเจ้าก็น้อยเกินไป ใช้เครื่องมือนักเวทย์ก็จะกินแรงมาก ยามปกติก็สะสมพลังเวทย์ไว้เสียหน่อย เมื่อถึงยามคับขันก็สามารถปรับใช้ จะได้ร่ายเวทมนตร์ออกมาได้มากหน่อย”
“อืม” ชิงสือพยักหน้ารัว
ท่านพี่คิดเพื่อเขาอย่างรอบคอบเกินไปแล้ว
“แต่อย่างไรก็ดี พวกนี้ก็เป็นเพียงพลังภายนอกเท่านั้น!” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดกำชับ “ความแข็งแกร่งของตนเองจึงจะสำคัญที่สุด”
เครื่องมือเหล่านี้ดูเหมือนจะมากมาย แต่อัศวินที่เลิศล้ำจริงๆ นั้น หากเป็นอัศวินดาวตกก็ยังคงคุกคามชีวิตของชิงสือได้ดังเดิม เครื่องมือนักเวทย์เหล่านี้อย่างมากก็เรียกได้ว่าเป็นวีรบุรุษของ ‘ชั้นดาวตกลงมา’! แน่นอนว่าก็มีข้อดีในเรื่องการร่ายเวทมนตร์กะทันหัน ยังพอประจันกับอัศวินชั้นดาวตกได้อย่างพอถูไถ
“ท่านพี่ ข้าเข้าใจ เครื่องมือเหล่านี้ยอดเยี่ยมมากแล้ว อาจารย์ยังไม่มีเครื่องมือนักเวทย์มากถึงเพียงนี้เลย” ชิงสือพูด
“แหวนเก็บวัตถุนี้ข้าเพิ่งได้มา มีพื้นที่ใหญ่โตนัก ยากจะประเมินค่าได้ ทั้งหมดนี้จะเปิดเผยออกไปมิได้” ตงป๋อเสวี่ยอิหยิบแหวนสีดำวงหนึ่งออกมา แหวนวงนี้เมื่อมองเผินๆ แวบแรกเหมือนห่วงที่ทำจากเส้นเหล็ก “จะอย่างไรเจ้าก็เป็นนักเวทย์ที่แท้จริงแล้ว จำไว้ว่า ต้องปลอมแปลงรูปร่างของแหวนวงนี้สักเล็กน้อย เพื่อป้องกันคนดูออก”
แม้จะดูจากภายนอก แหวนนี้ไม่มีอะไรพิเศษ แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังต้องรอบคอบ
ต้องรู้ว่าแหวนเก็บวัตถุที่มีพื้นที่เล็กๆ ขนาดสามเชียะก็ราคาหลายหมื่นตำลึงทองแล้ว! แหวนเก็บวัตถุที่มีพื้นที่กว้างยาวสูงสามเมตรเช่นนี้...พื้นที่นับว่าชวนตะลึงยิ่งนัก โดยทั่วไปก็เกือบล้านตำลึงทอง! จำนวนนี้น่าหวาดผวานัก แหวนเก็บวัตถุซึ่งมีพื้นที่ระดับนี้...โดยทั่วไปล้วนอยู่ในมือของสิ่งมีชีวิตชั้นสมญา ชนชั้นสูงหรือพ่อค้าสามัญย่อมไม่มีความสามารถจะรักษาวัตถุอันล้ำค่าเช่นนี้ไว้ได้
แม้แต่ในหมู่ชั้นสมญาเอง แหวนเก็บวัตถุมากมายก็ยังไม่มีพื้นที่ใหญ่โตถึงเพียงนี้เลย!
“ใหญ่มากหรือ” หลังชิงสือได้รับมาแล้ว ก็ใช้พลังเวทย์หลอมแปรอย่างสบายๆ ทันใดนั้นก็เบิกตาโพลง “ใหญ่ ใหญ่จัง!”
การหลอมวัตถุเวทมนตร์อารักษ์ขึ้นมาสักชิ้นนั้นยากยิ่ง
พวกที่พื้นที่เล็กมากนั้น ยังสามารถใช้วิธีแปรธาตุพิเศษบางอย่างทำได้ แต่พวกแหวนที่มีพื้นที่ใหญ่...กลับจำเป็นต้องเชิญปรมาจารย์เวทย์เหนือธรรมดาที่ถนัดเรื่องพื้นที่เป็นพิเศษมาออกแรงตัดพื้นที่ให้เสถียรด้วยมือของตนเอง สำหรับชีวิตเหนือธรรมดาบางคนแล้วอาจพอตัดพื้นที่ได้ แต่ยังต้องเสถียร อีกทั้งยังต้องกำหนดให้อยู่ภายในวัตถุเวทมนตร์อารักษ์ด้วยนั้นยากนัก ดังนั้นแหวนที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ทุกวงจึงมีราคาสูงลิ่วด้วยกันทั้งนั้น
ชิงสือเป็นนักเวทย์ จึงย่อมเข้าใจความล้ำค่าของแหวนเก็บวัตถุเช่นนี้สักวง
“ท่านพี่ ท่านได้มาได้อย่างไร” ชิงสือถาม “นี่มัน…มัน...”
“ฮ่าฮ่า ข้าบอกแล้วว่า ออกไปครั้งนี้ข้าได้อะไรกลับมามากมาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มพูด “เจ้าก็ดูให้ดีนะว่า ในแหวนเก็บวัตถุมีสาส์นเวทมนตร์วางอยู่จำนวนหนึ่ง สาส์นเหล่านี้ ข้าและท่านอาจงท่านอาถงไม่มีทางใช้ได้ ก็ให้เจ้าทั้งหมดเลย สาส์นเหล่านี้รวมกันแล้วราคาน่าตกใจนัก เจ้าต้องค่อยๆ ค้นคว้าทีละอัน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นของรักษาชีวิตเจ้า”
สาส์นเวทมนตร์ยิ่งฝืนธรรมชาติ
โยนสาส์นออกไปอันหนึ่ง เมื่อเหนี่ยวนำด้วยพลังเวทย์ ตู้ม เวทมนตร์อันแกร่งกล้าก็ระเบิดแล้ว! แน่นอนว่าม้วนสาส์นอันนี้ก็สิ้นเปลืองไปแล้ว
ดังนั้นการโยนสาส์นเวทมนตร์ ก็เท่ากับโยนตำลึงทองนั่นเอง!
อีกทั้งสาส์นเวทมนตร์ยังมีตลาดกว้างมาก เพราะในยามคับขัน เหล่านักเวทย์ร่ายคาถาให้เวทมนตร์อันแข็งแกร่งค่อยๆ แสดงออกมาก็ไม่ทันการ เช่นนั้นแล้วใช้สาส์นเวทมนตร์ในพริบตาก็สามารถรักษาชีวิตไว้ได้แล้ว! สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นวัตถุที่ทำให้ใต้เท้าเทวทูตผู้นั้นชนะการต่อสู้ มีชีวิตอยู่มาได้นานถึงเพียงนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงรวบของทั้งหมดนั้นมาให้น้องชายตนในคราวเดียว
“พี่ใหญ่ สาส์นเวทมนตร์เหล่านี้แพงเกินไปแล้ว” ชิงสือลองสัมผัสอย่างเผินๆ ก็พบว่าสาส์นเวทมนตร์เหล่านี้แต่ละอันล้วนไม่ธรรมดา บางอันคงจะเป็นสาส์นเวทมนตร์ขั้นห้า ส่วนจะมีสาส์นเวทมนตร์ขั้นหกหรือไม่นั้นยังต้องค้นคว้าดูเสียหน่อย
“ข้ากลัวอยู่บ้าง” ชิงสือกังวล
ของมีค่ามากมายเช่นนี้ ทำให้เขาอกสั่นขวัญแขวนอยู่บ้าง
“กลัวอะไรกันเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางส่ายศีรษะ “เจ้าแบ่งสาส์นเวทมนตร์ตามอานุภาพสูงต่ำ หากไม่ถึงยามคับขันก็อย่าใช้สาส์นเวทมนตร์เหล่านี้! เมื่อถึงชั่วขณะแห่งความเป็นความตายจริงๆ รักษาชีวิตเอาไว้จึงจะสำคัญที่สุด”
“อื้อ” ชิงสือพยักหน้า
“แหวนก็ดัดแปลงหน่อย สาส์นเวทมนตร์ก็พกติดตัว ขอเพียงเจ้าไม่พูด ข้า ท่านอาจงและท่านอาถงไม่มีทางทำร้ายเจ้า เช่นนั้นก็ไม่มีคนล่วงรู้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย “จำเอาไว้ ห้ามเปิดเผยออกไปเด็ดขาด! ต่อให้เป็นคนรักตัวน้อยผู้นั้นของเจ้า...ให้อย่างไรก็ห้ามบอก”
ภายในปราการเมืองศิลาหิมะ
ผู้ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเชื่อมั่นเต็มเปี่ยมจริงๆ ก็คือคนทั้งสามตรงหน้า ท่านอาจง ท่านอาถงนั้นไม่จำเป็นต้องพูดมาก ด้วยมีความสัมพันธ์ชนิดร่วมเป็นร่วมตายกับท่านพ่อท่านแม่มาอย่างแท้จริง อีกทั้งสนิทสนมกับตนดุจญาติ ความรู้สึกของตนและน้องชายก็ยิ่่งไม่ต้องพูดถึง...เพียงแค่น้องชายยังเล็กเกินไปหน่อย จึงกลัวไม่รู้หนักเบา ไปหลุดปากโพนทะนาข้างนอก ดังนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงจึงต้องกำชับกำชาอย่างจริงจัง
“ท่านพี่ ท่านวางใจเถอะ ข้ารู้แล้ว จะไม่บอกใครทั้งนั้น” ชิงสือพูด
“ฮ่าฮ่า ไม่ต้องตื่นเต้นไป ก็แค่ของนอกกายเล็กน้อยเท่านั้น พลังที่แท้จริงของตนจึงจะเป็นแก่นแท้” ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะ แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่ค่อยใส่ใจของนอกกายเหล่านี้เท่าไหร่อยู่แล้ว
ในใจของชิงสือกลับสับสนยิ่ง
ก่อนหน้านี้คนรักของตนยังพูดคำพูดเช่นนั้นมาเป็นกอง มาบัดนี้ของกำนัลที่ท่านพี่มอบให้ตนกลับล้ำค่าเสียจนยากจะจินตนาการได้ อาจารย์ไป๋หยวนจือลำบากมาหลายปีถึงเพียงนั้น ก็ยังร่ำรวยไม่ได้ส่วนหนึ่งของตนเลยกระมัง
“ท่านพี่” ชิงสือเดินใกล้เข้ามาแล้วกอดตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ “ข้าอยากกอดท่านสักครู่หนึ่ง”
“เจ้าเด็กนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงถูกน้องชายกอด ก็อดสะดุ้งมิได้ จากนั้นก็ลูบศีรษะของน้องชายเบาๆ
เมื่อยังเล็ก น้องชายกอดตนเป็นประจำ ตอนนอนก็ชอบกอดตน
เพียงแต่ว่าเมื่อค่อยๆ เติบโตขึ้น ไม่ได้กอดกันเช่นนี้มานานแล้ว
“อื้อ พอแล้ว” ชิงสือเงยหน้าขึ้นยิงฟันยิ้ม “ท่านพี่ ข้ากลับล่ะ จะกลับไปค้นคว้าสาส์นเหล่านั้นให้ดีๆ” พูดพลางหันหน้าทะยานจากไป
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปยังประตูห้องหนังสือที่เปิดค้างอยู่ คิ้วก็ขมวดขึ้นมาน้อยๆ
“พวกเราก็จะไปแล้ว เสวี่ยอิง นอนให้เช้าหน่อยเถออะ” ถงซานเอ่ย
“ปิดประตูก่อน ข้ามีเรื่องจะพูด” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วพูด
จงหลิงถือโอกาสปิดประตู ทั้งสองมองไปยังตงป๋อเสวี่ยอิง
“ข้ารู้สึกว่าวันนี้ชิงสือดูไม่ค่อยเหมือนปกติ” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้ว “แม้เขาจะแสร้งทำท่าทีเป็นธรรมชาติยิ่ง แต่ข้าเห็นเขาโตมา เขากะพริบตาทีหนึ่งข้าก็รู้ความคิดของเขาแล้ว เขาปิดบังข้ามิได้หรอก สุดท้ายเขายังกอดข้าทีหนึ่ง...ข้าก็ยิ่งรู้สึกว่ามีอะไรไม่ถูกต้องแล้ว”
“หา” จงหลิงและถงซานงุนงงอยู่บ้าง
ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดอย่างครุ่นคิดว่า “เขาอายุเพียงเท่านี้ อีกทั้งอยู่บนเขาไม่มีเรื่องหนักใจอันใด เกรงว่าต้องเป็นปัญหาเรื่องความรู้สึกบางอย่างเป็นแน่! อีกทั้งตอนกินข้าวเย็นทุกอย่างก็ยังดีอยู่ เขาไปส่งคนรักสาวตัวน้อยกลับไป พอมาหาข้าที่นี่อารมณ์ก็ไม่ถูกต้องแล้ว เกรงว่าคงจะเกี่ยวข้องกับคนรักของเขาผู้นั้นแน่”
“ท่านอาจง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดต่อว่า “ประเดี๋ยวข้าจะเร่งเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง ท่านส่งคนไปมอบให้ท่านเจ้าหอซืออานแห่งหอภูผามังกรเมืองอี๋สุ่ย! ข้าต้องการให้เขาช่วยเหลือ ต้องสืบให้แน่ชัด...รายงานทั้งหมดที่เกี่ยวกับจีหรง คนรักผู้นี้ของน้องชายข้า ! เช่นเรื่องของนางตั้งแต่เล็กจนโต ความสัมพันธ์เครือญาติของนางทั้งหมด ตั้งแต่นางเกิดจนถึงตอนนี้ทำอะไรมาบ้าง รายงานทั้งหมดที่มี ข้าจำเป็นต้องรู้ชัดว่าแท้จริงแล้วจีหรงผู้นี้เป็นคนเช่นไรกันแน่!”
ต่อให้ไม่มีเรื่องที่อารมณ์ของน้องชายผิดปกติในวันนี้ เขาก็ต้องสืบข้อมูลเบื้องลึกของจีหรงให้ชัดเจน
ตงป๋อเสวี่ยอิงจะวางใจให้น้องชายคบหากับคนผู้มีที่มาไม่ชัดเจนได้อย่างไรกัน อีกทั้งภายภาคหน้ายังจะมาใช้ชีวิตร่วมกันอีกด้วย
“ได้ วันนี้ข้าจะส่งคนไป” จงหลิงพยักหน้า จากนั้นก็ยิ้มออกมา “เสวี่ยอิงเจ้าบรรลุพลังชั้นสมญาแล้ว เหตุใดจึงไม่บอกชิงสือเล่า”
“ใช่แล้ว เสวี่ยอิง เจ้าใกล้จะไปรับภารกิจชั้นสำริดอยู่แล้ว ยังจะปิดบังอีกหรือ” ถงซานพูด
ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้าเบาๆ “เจ้าเด็กชิงสือนี่ยังมีประสบการณ์น้อยเกินไป ไร้เดียงสาเกินไป หากรู้ว่าข้าเป็นชั้นสมญา ไม่รู้ว่าหางจะชี้ไปถึงไหนแล้ว! อาจจะถึงขั้นกลายเป็นพวกหนุ่มเจ้าสำราญก็เป็นได้ นี่เป็นสิ่งที่ข้าไม่อยากเห็น ชิงสือยังบำเพ็ญด้านเวทมนตร์ไม่หนักหนาพอ ขนาดโยวเยวี่ยยังบรรลุถึงชั้นดินแล้วเลย เขายังคงเป็นเพียงนักเวทย์สามัญอยู่”
“อย่าไปตั้งข้อแม้อะไรมากเลย เขาอายุเพียงสิบหกปีเท่านั้น” จงหลิงยิ้มพูด
“ข้าอายุสิบห้าปีก็เข้าแนวเขาทำลายล้างสังหารเสือดาวเงามืดแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า “เดี๋ยวคงต้องไปคุยกับนักเวทย์ไป๋หยวนจือเสียหน่อย ต้องกดดันชิงสือเสียบ้าง อย่าสบายเสียจนวันๆ ไม่ทำอะไร พรสวรรค์ด้านเวทมนตร์ของเขาสูงส่งกว่าท่านแม่มากมายนัก พลังจิตก็สูงยิ่งตั้งแต่เด็ก แต่ความสามารถกลับนับว่าธรรมดามากในบรรดาศิษย์ของปรมาจารย์เวทย์ไป๋หยวนจือ ขนาดผู้ที่พรสวรรค์สู้เขาไม่ได้แล้วบำเพ็ญมาด้วยกันอย่างโยวเยวี่ย ตอนนี้ความสามารถยังสูงกว่าเขาเสียอีก”
ทุกวันนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นชั้นสมญาแล้ว ยืนอยู่ขั้นบนสุดของคนธรรมดา เขาพยายามมุ่งไปยังชีวิตเหนือธรรมดา
แต่ที่เหนี่ยวรั้งให้เขาวางใจไม่ลงก็คือน้องชายนั่นเอง
……
เช้าตรู่วันต่อมา
ณ หอภูผามังกร เมืองอี๋สุ่ย
“ท่านเจ้าหอขอรับ นี่คือจดหมายที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเขียนเองกับมือแล้วส่งคนมามอบให้” โหยวถู ชายชราผมขาววางจดหมายฉบับหนึ่งลงบนโต๊ะยาว
ใต้เท้าซืออานนั่งอยู่ตรงนั้น เงี่ยหูฟังเล็กน้อยแล้วเงยหน้าขึ้นพูดว่า “เป็นจดหมายที่ตงป๋อเสวี่ยอิงเขียนเองกับมือหรือ ส่งมาเร็วขนาดนี้เชียว”
“เป็นจดหมายที่รอนแรมมาไม่หยุดเมื่อคืนขอรับ” โหยวถูเอ่ย
“เรื่องอะไรกันต้องรีบร้อนถึงเพียงนี้ เร่งมาไม่หยุดทั้งคืนเพื่อมาส่งรึ เหตุใดเจ้าจึงไม่รีบบอกข้าเสียแต่เนิ่นๆ เล่า” ใต้เท้าซืออานหยิบขึ้นมาดู
โหยวถูยิ้มพูดว่า “ข้าดูแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญมากมายอันใด ตงป๋อเสวี่ยอิงจะขอร้องให้ท่านเจ้าหอช่วยงสืบข้อมูลเบื้องลึกของ‘จีหรง’ คนรักของน้องชายเขา ในตอนนั้นก็ดึกแล้ว ข้าจึงไม่ได้รบกวนท่านเจ้าหอ”
“หลังจากนี้ไป เรื่องของตงป๋อเสวี่ยอิงต้องบอกข้าทันที” ใต้เท้าซืออานพูดอย่างจริงจัง
“เอ้อ...ขอรับ ข้าทราบแล้ว” โหยวถูแปลกใจอยู่บ้าง เรื่องแค่สืบหาข้อมูลเบื้องลึกของคนรักเช่นนี้ก็ล้วนต้องรู้ในทันทีหรือ ท่านเจ้าหอภูผามังกรผู้ร่ำรวยด้อยค่าได้ถึงเพียงนี้เชียว
“ใช่แล้ว เขายังส่งคนมามอบตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงทองแนบมาด้วย” โหยวถูเอ่ย
“ตงป๋อเสวี่ยอิงทำอะไรช่างน่าสนุกเสียจริง” ใต้เท้าซืออานยิ้มออกมาแล้ว ผู้แกร่งกล้าเหล่านี้จะขอให้หอภูผามังกรช่วยทำเรื่องบางอย่างนั้นก็ย่อมได้ ทว่าเป็นเพราะมิใช่เรื่องของทางการ ดังนั้นโดยทั่วไปก็ล้วนต้องมีค่าเหนื่อยบ้าง สืบหาข้อมูลเบื้องลึกของคนผู้หนึ่งก็ส่งเงินมาให้ถึงหนึ่งพันตำลึงทอง นับว่าเป็นเงินก้อนโตทีเดียว
“จีหรงรึ”
ใต้เท้าซืออานรีบกำชับทันทีว่า “เจ้าเร่งเตรียมคนระดับชั้นสูงสุดสืบรายงานข่าวคราวทั้งหมดของจีหรงให้แน่ชัด บิดามารดาและญาติสนิทมิตรสหายของนางทั้งหมด รายงานทั้งมวลตั้งแต่นางเกิดจนถึงบัดนี้! สืบให้ชัดเจนให้ข้าโดยเร็วที่สุด!”
“ระดับชั้นสูงสุดหรือ” โหยวถูตะลึง
เดิมทีหอภูผามังกรก็สอดส่องใต้หล้าอยู่แล้ว เครือข่ายข่าวถือเป็นหนึ่งในใต้หล้า แต่เรื่องเล็กเช่นนี้ต้องใช้คนระดับชั้นสูงสุดเชียวหรือ ล้อกันเล่นเกินไปแล้วกระมัง
“ถูกต้อง ไปเถอะ” ใต้เท้าซืออานกำชับ
“ขอรับ” โหยวถูได้แต่รับบัญชาแล้วรีบไปเตรียมการทันที
ใต้เท้าซืออานนั่งอยู่ตรงนั้น แล้วหยิบโองการด้านข้างม้วนหนึ่งขึ้นมาเปิดดู
“ซืออาน จ้องตงป๋อเสวี่ยอิงไว้ให้มั่น จับตาข่าวคราวทั้งหมดของเขาเอาไว้ น่าสงสัยว่าคนผู้นี้เหมือนจะเป็นผู้แกร่งกล้าชั้นสมญา เป็นไปได้ถึงห้าส่วน!” นี่เป็นคำสั่งที่ออกมาจากทางตัวเมือง ทั้งยังมีรายงานโดยละเอียดแนบมาด้วย
“ระดับชั้นสมญาหรือ”
“จริงหรือเท็จกันแน่” ใต้เท้าซืออานพึมพำอย่างอดมิได้ เขาได้รับข่าวคราวนี้มาก็วันหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังคงประหลาดใจ
แต่ทางตัวเมืองนั้นก็มีหลักฐานแน่นหนามากพอ
ดังเช่นตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในตัวเมืองก็จับจ่ายใช้สอยไปถึงห้าแสนตำลึงทอง นี่เป็นเพียงส่วนเสริมเท่านั้น! ที่สำคัญคือการต่อสู้ในปราการเมืองตระกูลหลู เพราะเกี่ยวโยงถึงเทพมาร ดังนั้นหอภูผามังกรจึงตรวจสอบอย่างละเอียดยิ่ง พวกเขาพบหอกสั้นที่ปักเข้าไปในส่วนลึกของหินก้อนมหึมา! ในบรรดายอดฝีมือทั้งห้าที่ส่งไปในตอนแรกนั้น ผู้ที่ใช้หอกสั้นก็มีเพียงตงป๋อเสวี่ยอิงคนเดียวเท่านั้น! ในปีที่อายุสิบห้า ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เคยใช้หอกสั้นสังหารเหล่าโจรแห่งกองมีดโค้งตายเป็นจำนวนมาก! ขณะเดียวกันก็พบดาวกระจายทรงโค้งที่ฝังลึกอยู่ในหินก้อนมหึมา ดาวกระจายทรงโค้งทุกอันล้วนหลอมขึ้นโดยปรมาจารย์แปรธาตุผู้เก่งกาจ ราคาหนึ่งพันตำลึงทอง! อัศวินจันทร์เงินธรรมดาคงไม่ฟุ่มเฟือยเพียงนี้กระมัง
อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากความลึกที่ดาวกระจายและหอกสั้นเหล่านี้ปักเข้าไปแล้ว...นี่ควรเป็นพลังชั้นสมญาจึงจะสามารถปักเข้าไปได้ลึกถึงเพียงนี้
ระเบิดคงไม่สามารถทำให้ดาวกระจายและหอกสั้นปักเข้าไปในหินก้อนมหึมาได้ลึกถึงเพียงนั้น!
นอกจากนี้ ตามการพิเคราะห์แล้ว อานุภาพของการระเบิดครั้งนั้นแทบจะทำให้อัศวินจันทร์เงินต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงกลับไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่ปลายผม ขนาดอวี๋จิ้งชิวก็ยังรอดชีวิตมาได้
ยังมีเงื่อนงำร่องรอยอื่นๆ อีกมากมาย ดังเช่นพวกร่องรอยการต่อสู้ที่หลงเหลืออยู่บนหินก้อนมหึมาที่ถล่มลงมา ล้วนแล้วแต่พิเคราะห์ออกมาได้ว่า...ที่นี่เคยมีการต่อสู้กันระหว่างชั้นสมญา! อีกทั้เป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายนั้นสิ้นชีวิตแล้ว ผู้ที่รอดมาได้ก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงวัยเยาว์ผู้นี่ ดังนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงจึงได้รับสมบัติมหาศาล สามารถใช้เงินกว่าห้าแสนตำลึงทองในตัวเมืองตามอำเภอใจได้!
“อายุน้อยเพียงนี้ก็เป็นอัศวินสมญาแล้วหรือ หากเป็นเรื่องจริง ก็น่ากลัวเกินไปแล้ว” ใต้เท้าซืออานแอบร่ำร้องในใจ หอบัญชาการรวมของหอภูผามังกรแห่งแคว้นอันหยางสิงกำลังจับตามองตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว!
………………………………………………………………………...