ตอนที่ 28 ฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงจัดงานเลี้ยงต้อนรับ ‘ซือเฉิน’ นักเวทย์วัยเยาว์แห่งตระกูลซือผู้นั้น หลังจากได้พบแล้วก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงต้องลอบพยักหน้ายอมรับ “ยังอายุน้อยเท่านี้ก็ได้เป็นถึงนักเวทย์ชั้นดาวตก ไม่ธรรมดาจริงๆ ต่างกับซือไป่หรงอย่างสิ้นเชิง! ก็ใช่...ตระกูลซือรุ่งเรืองอยู่ในเมืองชิงเหอมาหลายร้อยปี คนในตระกูลมากมายนัก มีทั้งดีเลวปะปนกันไป อาจให้กำเนิดทั้งพวกเจ้าสำราญอย่างซือไป่หรง และผู้ที่เลิศล้ำโดยแท้เช่นซือเฉิน
“ก่อนอัศวินจะก้าวเข้าสู่ชั้นสมญา อย่างไรก็ต้องให้ความสำคัญกับพรสวรรค์ของร่างกายมากกว่า ผู้ที่พรสวรรค์ของร่างกายดี และยิ่งมีคุณสมบัติและวิถีพลังการต่อสู้ที่ดี หากฝึกแล้วก็สามารถขึ้นถึงชั้นอัศวินจันทร์เงินได้อย่างราบรื่น ดังนั้นในหมู่อัศวินจันทร์เงิน จึงมีพวกที่ดูดีแต่ไร้ความสามารถอยู่มากมายก่ายกอง”
“แต่นักเวทย์กลับต่างออกไป จำเป็นต้องพิเคราะห์ฟ้าดินและธรรมชาติ จึงมีเงื่อนไขกำหนดเรื่องสติปัญญาและความรู้สูงยิ่ง นักเวทย์ที่เก่งกาจสักคนนั้น จะดูแคลนไม่ได้เลย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงทอดถอนใจ
นักเวทย์ที่เขาเคยเจอมา ไม่มีพวกโง่งมเลยสักคน แต่ละคนล้วนเฉลียวฉลาดทรงปัญญา
อัศวินนั้นไม่เหมือนกัน ผู้ที่กล้าหาญก็มี ผู้ที่มุทะลุก็มี ผู้ที่โง่งมก็มี
“แต่ว่าอยากจะก้าวเข้าสู่ชั้นสมญา ไม่ว่าจะเป็นอัศวินหรือนักเวทย์ก็ล้วนยากเย็นเช่นกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า จะก้าวเข้าสู่ชั้นสมญาก็ยากเกินไปแล้ว อัศวินจันทร์เงินวัยเยาว์ผู้หนึ่งคงไม่ได้รับความสำคัญอะไร เพราะขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ของร่างกาย แต่ ‘ชั้นสมญา’… มีเงื่อนไขด้านจิตวิญญาณสูงยิ่งกว่าสูงแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นปรมาจารย์วิถีหอกยาวมาหลายปีจวบจนวันนี้ก็ยังไม่สามารถฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่งได้
เขาเพียงอาศัยสายเลือดโบราณกาลจึงมีพลังชั้นสมญาเท่านั้นเอง จะเห็นได้ว่า ‘ฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่ง’ นั้นยากเย็นเพียงใด!
ชั้นสมญาคนหนึ่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นอัศวินหรือนักเวทย์ แต่ละคนเก่งกาจยิ่งนัก จิตวิญญาณล้วนแล้วแต่ฝึกฝนจนสูงเสียยิ่งกว่าสูง ไม่ว่าจะเป็นวีรบุรุษผู้เก่งกล้า วีรบุรุษผู้มุทะลุ หรือเป็นมาร ก็ล้วนแต่ไม่ธรรมดาทั้งสิ้น
ต้องเป็นเช่นนี้เท่านั้นจึงจะมีหวังเป็นชีวิตเหนือธรรมดาได้! เมื่อถึงตอนนั้นก็จะมิใช่ธรรมดาสามัญอีกต่อไป แม้แต่เทพเทวาก็ต้องเกรงกลัวพวกเขา
……
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ได้รีบร้อนไปรับภารกิจ เพราะเขาแอบรู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงของจิตวิญญาณคล้ายจะถึงช่วงเวลาคับขันแล้ว
“มีความสุขจริง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงฝึกวิถีหอกยาวอยู่ในสนามฝึกยุทธ์ครู่หนึ่ง ได้ยืดเส้นยืดสายเสียหน่อย เขาก็รู้สึกสบายเนื้อสบายตัว จากนั้นก็ถลาขึ้นไป
สวบ
เพียงพริบตาเดียวก็ขึ้นไปอยู่บนหลังคาของหอหลักแห่งปราการเมืองด้านข้างแล้ว
หอหลักแห่งปราการเมืองมีพื้นที่ใหญ่โต หลังคาก็กว้างขวาง ทำขึ้นจากศิลาก้อนมหึมา ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งลงบนขั้นบันไดขั้นหนึ่งตามอำเภอใจ เขาเอนหลังพิงหินก้อนมหึมาด้านหลัง ทอดสายตามองทัศนียภาพไกลออกไป ที่นี่คือจุดสูงสุดของปราการเมือง เมื่อมองออกไป...กำแพงปราการเมืองไกลลิบนั้นก็ต่ำมากแล้ว ไม่ใช่อุปสรรคอีกต่อไป ทิวเขาอื่นๆ โดยรอบล้วนอยู่ในสายตาทั้งสิ้น
หอนักเวทย์แห่งนั้นก็มองเห็นได้ชัดเช่นกัน
เชิงเขามีไร่นา และหมู่บ้านที่เหล่าไพร่ฟ้าอาศัยอยู่
“ตู้ม ตู้ม ตู้ม…”
ไกลออกไปตรงเชิงเขานั้น มีผ้าต่วนสีขาวผืนมหึมาอยู่ผืนหนึ่ง นั่นก็คือแม่น้ำชิงเหอ ที่มาของชื่อเมืองชิงเหอ!
แม่น้ำชิงเหอ ไหลยาวต่อเนื่องกันนับหมื่นลี้ เป็นแม่น้ำต้นกำเนิดของทั้งเมืองชิงเหอ โดยเฉลี่ยแล้วกว้างกว่าหลายพันเมตร
แม้จะมองลงไปจากที่สูง แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังคงได้ยินเสียงแม่น้ำหลั่งไหล
“งดงามจริง”
ใบหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏรอยยิ้มระบายไปทั่ว
ปราการเมือง ยอดเขา หมู่บ้านเล็กๆ นับไม่ถ้วนซึ่งดูเหมือนดาวกะพริบวิบวับที่เชิงเขา ยังมีแม่น้ำชิงเหออันคดเคี้ยวดูราวกับแถบผ้านั้น ทัศนียภาพนั้นดุจความฝัน ดั่งจินตนาการ
ตั้งแต่เด็ก ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ชอบมองทัศนียภาพทั้งแดนใต้อาณัติของตระกูลตนเช่นนี้ ช่างงดงามจริงๆ นี่คือบ้านของเขา เขาชอบบ้านของตน!
เขาพลิกมือหยิบกาสุราเหล็กออกมา แล้วจิบเบาๆ คำหนึ่ง สุรานั้นร้อนแรงยิ่ง ลวกลงไปจนถึงหัวใจ โดยปกติแล้วอย่างมากตงป๋อเสวี่ยอิงก็ดื่มชาและสุราผลไม้ สุราชั้นยอดนั้นต้องไม่ให้หกสักหยด มีเพียงเวลาอารมณ์ดียิ่งหรือไม่ดีอย่างยิ่งเท่านั้นจึงจะดื่มได้เสียหน่อย เห็นได้ชัดว่าในตอนนี้เขาอารมณ์ดียิ่ง
สังหารใต้เท้าเทวทูตได้ ก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นจุดหมายของตนเองชัดเจนยิ่งขึ้น
มีหวังช่วยท่านพ่อท่านแม่ได้แล้ว!
บัดนี้น้องชายก็เติบใหญ่แล้ว ทั้งหมดล้วนทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงอารมณ์ดียิ่ง! สำหรับเรื่องหนักใจบางอย่างนั่นเขาคร้านจะไปสนใจ เมื่ออยู่ต่อหน้าพละกำลังอันเฉียบขาดที่เขามี ผู้ใดบังอาจมากล้ำกรายแดนอินทรีหิมะของเขา ต้องถูกบี้จนตาย!
“เข้า ออก เข้า….”
ลมหายใจของตงป๋อเสวี่ยอิงค่อยๆ เนิบช้าลง หัวใจก็เต้นช้าลง การไหลเวียนเลือดก็ช้าลงจนแทบจะหยุดนิ่ง
หัวใจของตงป๋อเสวี่ยอิงสงบลงเรื่อยๆ
สัมผัสที่มีต่อธรรมชาติรอบด้านก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ! เสียงเดินของบรรดาบ่าวรับใช้ทั่วทั้งปราการเมือง เสียงหัวร่อต่อกระซิกของเหล่าทหารในที่ไกลๆ ก็ล้วนได้ยินทั้งสิ้น
ลมโดยรอบกำลังพัดหวิว! ลมบนยอดเขานั้นแรงอยู่เสมอ เมื่อพัดต้องผิวกายก็สบายยิ่งนัก
มีกลิ่นหอมของมวลบุปผา
มีกลิ่นหอมของต้นหญ้า
“ฟ้าดินและธรรมชาติช่างงดงามนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสทุกสิ่งอย่างสำราญใจ
“ตุ้บ!”
ทันใดนั้น ในความรู้สึกของเขา ทั้งฟ้าดินพลันสะเทือนเลื่อนลั่น หรือกล่าวได้ว่า ไม่ใช่ฟ้าดินสะเทือน หากแต่เป็นหัวใจของเขาต่างหากที่สั่นไหว!
เฉกเช่นเดียวกับลูกไก่กะเทาะออกมาจากเปลือกไข่ เฉกเช่นเดียวกับต้นหญ้าน้อยที่ผุดออกมาจากโคลนตม
ชั่วขณะนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าจิตวิญญาณที่ถูกกายหยาบจองจำเอาไว้นั้นสามารถหลุดพ้นจากการจองจำนั้นได้ในที่สุด จิตวิญญาณกะเทาะออกมาจากเปลือกแล้วผสานรวมกับฟ้าดินรอบด้านเป็นหนึ่งเดียวในพริบตา! เดิมทีเขาก็รู้สึกถึงความงดงามของฟ้าดินและธรรมชาติ แต่นั่นก็เป็นการชมและสัมผัสฟ้าดินโดยมีผ้าบางๆ ชั้นหนึ่งคั่นไว้ บัดนี้จิตวิญญาณของเขาบรรลุผ่านผ้าบางๆ ชั้นนี้มาแล้ว ผสานรวมกับฟ้าดินอย่างสมบูรณ์ เช่นนั้นแล้วความรู้สึกก็แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง!
เมื่อลมพัด ตนก็ราวกับกลายเป็นสายลม ลมสายน้อยนับไม่ถ้วนไล่ตามซึ่งกันและกัน หากไม่ผสมรวมกันเป็นหนึ่ง ก็พัดกระจัดกระจายออกไป
ยังมีสิ่งที่ละเอียดกว่านั้น พละกำลังนับไม่ถ้วน
พละกำลังของไฟ พละกำลังของน้ำ พละกำลังของของผืนดิน พละกำลังของลม พละกำลังของสายฟ้า พละกำลังของแสง พละกำลังของความมืด...พละกำลังหลากหลายชนิดที่กำเนิดมาจากสิ่งพื้นฐานที่สุดทั่วทั้งโลก เขาล้วนสัมผัสได้อย่างกระจ่างแจ้งหาใดเปรียบ นี่สิจึงจะเป็นพลังฟ้าดินที่แท้จริง! เหล่านักเวทย์ต้องเหนี่ยวนำพลังฟ้าดินจากภายนอกผ่านรูปแบบเวทมนตร์ซึ่งใช้พลังเวทย์สร้างขึ้นจึงจะร่ายเวทมนตร์ได้
แต่หลังจากฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่งแล้ว กลับสามารถควบคุมพลังฟ้าดินได้โดยตรง! นี่คือความแตกต่างจากรากฐาน! ดังนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าชั้นสมญา ทุกผู้ที่ต่ำกว่าชั้นสมญาจึงไม่มีทางเหนี่ยวนำพลังฟ้าดินได้ เวทมนตร์อันเยี่ยมยอดก็ย่อมไม่มีทางแสดงออกมาได้
“สบายจัง”
หลังจิตวิญญาณกะเทาะออกมาจากเปลือกแล้วผสานรวมเป็นหนึ่งกับฟ้าดินแล้ว ก็พลันได้รับการหล่อเลี้ยงของพลังฟ้าดิน
เริ่มเติบโตขึ้นเหมือนกับต้นกล้าน้อยๆ ได้รับน้ำรดลงมาซู่ๆๆ
เป็นครั้งแรกที่จิตวิญญาณได้รับการหล่อเลี้ยงของพลังฟ้าดินโดยตรงตั้งแต่เกิดมา ทันใดนั้นก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงราวกับกลายร่าง! การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้รวดเร็วยิ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงดื่มด่ำลิ้มรสชาติของฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่งเช่นนี้ รสยังไม่ทันจางไป วิวัฒนาการของจิตวิญญาณก็ค่อยๆ หยุดนิ่งแล้ว แต่ในยามนี้ พละกำลังจิตวิญญาณของเขาแกร่งกล้ากว่าเดิมเป็นสิบเท่าร้อยเท่าแล้ว
การหล่อเลี้ยงของพลังฟ้าดิน จิตวิญญาณอันแกร่งกล้า นี่จึงมีหวังจะก้าวเข้าสู่ชั้นเหนือธรรมดาอย่างแท้จริง
“ฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่ง!”
ความคิดของตงป๋อเสวี่ยอิงแปรเปลี่ยน!
โครม!!!
ทันใดนั้น พลังอัคนีก็พลันซัดสาดอยู่ในกาย ฉาบเอากายหยาบจนทั่ว ไม่จำเป็นต้องมีการเหนี่ยวนำจากวิถีพลังการต่อสู้ นี่ยังรวดเร็วกว่าการเหนี่ยวนำปกติไม่รู้กี่เท่า ร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งเดิมทีความก้าวหน้าในการฝึกฝนเชื่องช้ามากแล้วนั้น เมื่อได้ดูดซับพลังอัคนีอันบ้าคลั่งเช่นนี้ก็แกร่งกล้าขึ้นทันที! การแกร่งกล้าขึ้นนี้ชัดเจนเสียจนสามารถสัมผัสได้
“มิน่าเล่า อัศวินที่สายเลือดโบราณกาลมิได้ตื่นรู้ จึงจำต้องให้ฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่งก่อนแล้วอาศัยพลังฟ้าดินจึงจะสามารถสั่งสมให้พลังการต่อสู้เกิดการเปลี่ยนแปลงจนก้าวเข้าสู่ชั้นสมญาได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงยินดี
ในยามนี้ร่างกายกำลังดูดซับพลังจากภายนอก
แม้แต่พลังการต่อสู้ในกายก็กำลังดูดซับเช่นกัน ระหว่างดูดซับพลังการต่อสู้ที่แปรเป็นรูปของเหลว ก็เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
เวลาผ่านไปชั่วจอกชาหนึ่ง จุดตันเถียนและจุดชี่ไห่ในร่างกายก็เจ็บปวดอยู่บ้าง เห็นได้ชัดว่ามิอาจดูดซับต่อไปได้อีกแล้ว! ครึ่งชั่วยามต่อมา ต่อให้เป็นร่างกายที่สายเลือดโบราณกาลตื่นรู้ก็พลันรับไม่ไหวขึ้นมาบ้างแล้ว มิอาจดูดซับได้อีกต่อไป คนมิอาจสวาปามจนเป็นคนอ้วนในคราเดียวได้ เห็นได้ชัดว่าพลังฟ้าดินมีไม่จำกัด ครั้งเดียวก็ทำให้จุดตันเถียน จุดชี่ไห่และร่างกายรับไม่ไหวแล้ว ร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ต้องการขั้นตอนวิวัฒนาการที่เป็นธรรมชาติเช่นกัน
“ด้วยความเร็วเช่นนี้ คาดว่าพลังการต่อสู้คงจะสามารถก้าวเข้าสู่ชั้นอัศวินจันทร์เงินได้ภายในครึ่งเดือน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเบิกบานใจยิ่ง “พลังร่างกายของข้าก็สามารถเติบโตได้ทุกวัน เกรงว่าใช้เวลาเพียงสองเดือนก็จะเพิ่มเป็นเท่าตัวได้แล้ว!”
หลังฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่งแล้ว…
ร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงก็จะก้าวหน้าอย่างไม่หยุดหย่อน จนถึงระดับต่ำกว่าเหนือธรรมดา ขีดจำกัดที่แท้จริงของสายเลือดโบราณกาลในกายเขา! นั่นเป็นพละกำลังอันน่าเกรงกลัวยิ่งอย่างหนึ่ง!
“ฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่ง”
“ข้า ตงป๋อเสวี่ยอิงอายุยี่สิบสองปี ในที่สุดก็ฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่งแล้ว!” ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนขึ้นมาบนหลังคา แล้วมองไปยังฟ้าดินอันกว้างใหญ่ไพศาล มองพื้นดินกว้างสุดลูกหูลูกตา มองไปยังแม่น้ำชิงเหอที่ทะยานไปไกลลิบ แล้วก็อดพุ่งขึ้นสู่ฟ้าอย่างภาคภูมิใจมิได้ “ข้ามีความหวังเต็มเปี่ยมว่าจะก้าวเข้าสู่เหนือธรรมดาได้ในอนาคต! เป็นชีวิตเหนือธรรมดา ได้โบยบินไปบนท้องฟ้า มุดลงใต้ดิน นั่งลงร่ำสุรากับทวยเทพ ฉีกทึ้งมารร้ายได้โดยตรง…”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเคยเห็นรายชื่อผู้แกร่งกล้าชั้นสมญาสามพันคนบนรายนามภูผามังกร ก็เข้าใจดีว่า ผู้ที่สามารถฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่งได้ตั้งแต่อายุยี่สิบสองปีนั้นฝืนลิขิตฟ้าเพียงใด
การเติบโตของจิตวิญญาณรวดเร็วเพียงนี่
ตนมีเวลาร้อยกว่าปีเพื่อตามหาเส้นทางก้าวเข้าสู่ชั้นเหนือธรรมดาที่เป็นของตนเอง!
“ฟิ้ว...”
ตงป๋อเสวี่ยอิงปลดปล่อยจิตวิญญาณให้รวมเป็นหนึ่งกับฟ้าดิน ทุกสิ่งโดยรอบนั้นชัดเจนหาใดเปรียบ แม้แต่เสียงจุ๊กจิ๊กของเหล่าทหารและคนในบ้านที่ปราการเมืองชั้นนอกก็ล้วนสัมผัสได้อย่างชัดแจ้ง ตงป๋อเสวี่ยอิงหน้าแดงขึ้นมาอย่างอดมิได้ พลันสัมผัสที่อื่นในทันที ก็สัมผัสได้ถึงที่พักของโยวเยวี่ย! ในยามนี้โยวเยวี่ยกำลังสนทนาอยู่กับหนุ่มน้อยอีกคนภายในห้องที่บ้านของตนเอง
“เอ๋ น้องชายของโยวเยวี่ยก็มาด้วยหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงแปลกใจอยู่บ้าง
……………………………………………………………………………………………