Chapter0055

ตอนที่ 29 ตัดเรื่องหนักใจ

“โยวเยวี่ยนี่ก็จริงๆ เลย น้องชายนางมาก็ไม่ยอกกล้าวสักคำ เห็นทีวันนี้จะต้องเพิ่มอาหารหน่อยแล้ว” ทันใดนั้นคิ้วของตงป๋อเสวี่ยอิงก็กระตุก ภายใต้ขอบเขตที่ฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่งครอบคลุมนั้น แม้แต่เสียงแมลงวันกระพือปีกก็ล้วนได้ยินชัดเจน แน่นอนว่าการสนทนาของข่งโยวเยวี่ยและน้องชายข่งเฮ่าก็ย่อมได้ยินชัดเจนหาใดเปรียบ

  ……

ในห้องของโยวเยวี่ย

“ท่านพ่อให้เจ้ามาด้วยเรื่องนี้เองหรือ” ข่งโยวเยวี่ยพูดเสียงเบา

“ถูกต้อง” ข่งเฮ่าพูด “ท่านพ่อยังกำชับว่าสถานะของตระกูลซือในเมืองชิงเหอนั้นสูงส่งหาใดเปรียบ! ตำแหน่งขุนนางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นขุนพลทหารในกองทัพ ผู้รักษาการณ์เมือง เจ้าเมือง ในท้องที่ต่างๆ หรือแม้กระทั่งโจรเถื่อนผู้โหดเหี้ยม สมาคมพ่อค้าอันร่ำรวย อีกทั้งพรรคในความมืดบางส่วน พลังอำนาจทั้งหมดไม่ว่าจะอยู่ในที่สว่างหรือที่มืดก็ล้วนต้องยอมจำนนให้แก่ตระกูลซือ!”

“ตระกูลซือเปรียบดั่งฟ้าของเมือชิงเหอ!พวกเขาบอกว่าผู้ใดมีความผิด ผู้นั้นก็มีความผิด! ถึงจะมิผิดก็ต้องผิด” ข่งเฮ่าพูด “ซือเฉินเป็นอภิชาตบุตรของตระกูลซือโดยแท้ ปีนี้อายุเพียงยี่สิบก็เป็นนักเวทย์ชั้นดาวตกมาถึงสองปีแล้ว ได้รับความรักทะนุถนอมจากบรรพบุรุษตระกูลซือเป็นอันมาก...อีกหน่อยพอได้เป็นนักเวทย์ชั้นจันทร์เงินแล้ว สถานะก็จะยิ่งสูงส่งจนน่าตกใจ!”

“ท่านพ่อพูดแล้วว่า จะไม่บีบบังคับให้ท่านต้องแต่งงานกับตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว หากสามารถแต่งงานกับซือเฉินได้ก็จะยิ่งดี ท่านพ่อพูดว่าหากตระกูลเราสามารถผูกสัมพันธ์กับตระกูลซือได้ ก็จะสามารถขึ้นสวรรค์ได้ในก้าวเดียวจริงๆแล้ว” ข่งเฮ่าพูด

จากนั้นข่งเฮ่าก็เบ้ปาก “แต่ว่าท่านพี่ ข้ารู้สึกว่าท่านพ่อจริงจังเกินไปหน่อย อย่างไรเสียข้าก็สนับสนุนท่านพี่ ที่จริงแล้วก็ไม่ต้องสนใจท่านพ่อหรอก เขาพูดเช่นนี้ไปอย่างนั้น อย่างไรเสีย อยากจะแต่งงานกับคุณชายน้อยซือเฉินผู้นั้นก็ใช่ว่าจะแต่งได้สำเร็จเสียหน่อย!”

“เฮอะ”

ข่งโยวเยวี่ยยิ้มเยาะทีหนึ่ง “ที่แท้แล้วท่านพ่อก็เป็นคนเช่นนี้เอง!”

นางพูดเพียงเท่านี้แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก

“เฮ้อ...”

“ท่านพ่อสั่งมาอย่างเคร่งครัด หลายปีมานี้ข้าก็อยากจะใกล้ชิดตงป๋อเสวี่ยอิง” ข่งโยวเยวี่ยถอนใจเบาๆ “แม้ข้าจะพยายามแล้ว เขาก็ค่อนข้างสนิทสมกับข้าแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยเปิดเผยออกไปอย่างจริงจังเสียทีว่าข้าเป็นคนรักของเขา!”

“เขาไม่ชอบท่านหรือ” ข่งเฮ่าถามต่อ

“ก็ไม่เชิงหรอก เขาใฝ่ใจมุ่งไปที่วิถีหอกยาวอยู่ตลอดเวลา นอกจากข้าแล้ว หากไม่นับพวกสาวใช้ในปราการเมือง เขาไม่เคยพูดกับหญิงสาวคนอื่นเลยด้วยซ้ำ” ข่งโยวเยวี่ยพูด “ตงป๋อเสวี่ยอิงภายนอกเย็นชา ภายในร้อนรุ่ม ขอเพียงค่อยๆ อาศัยเวลา เชื่อว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ด้วยนิสัยของเขาแล้ว อีกหน่อยจะต้องแต่งงานกับข้าแน่”

“แต่อยู่กับเขาแล้ว ช่างน่าเบื่อนัก” ข่งโยวเยวี่ยส่ายศีรษะ “เกรงว่าตัวเขาเองยังคงไม่รู้สึก ไม่รู้จักหยอกล้อคนเลยสักนิด ไม่น่าสนุกเลยแม้แต่นิดเดียว! ยังสู้พวกศิษย์หนุ่มๆ ในหอนักเวทย์ไม่ได้เลย พวกเขายังรู้จักหยอกล้อคน”

“ท่านพี่ ท่านไม่ชอบตงป๋อเสวี่ยอิงหรือ” ข่งเฮ่าตะลึง

“ตอนยังเด็กเพิ่งมาถึงที่นี่ ข้าก็ยังเทิดทูนเขาอยู่มาก แต่ต่อมา หลังจากติดตามอาจารย์ ได้ศึกษาเวทมนตร์  เข้าใจความกว้างใหญ่ของฟ้าดินแล้ว ก็รู้สึกว่าเขาธรรมดาสามัญแล้ว ก็แค่คนคลั่งยุทธ์ที่ฝึกหอกจนกลายเป็นมารเท่านั้นเอง”

  ……

บนหลังคาของหอเมือง

เพราะฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่ง แม้แต่สายตาและสีหน้าท่าทางของข่งโยวเยวี่ยก็ล้วนสัมผัสได้ชัดเจนหาใดเปรียบ เขาสัมผัสได้อย่างชัดแจ้งว่า ขณะที่บอกว่าเขาเป็นคนคลั่งยุทธ์ มุมปากนั้นยกขึ้นอย่างเหยียดหยามเต็มที 

    

สีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงซีดขาวอยู่เล็กน้อย

เขาก็ไม่ได้ชมชอบข่งโยวเยวี่ยเท่าใดนัก ไม่มีความรู้สึกเร่าร้อนใจเจ้นตึกตักโครมครามอันใด เขาไม่แม้แต่จะคิดทำความสัมพันธ์ให้ชัดเจนเสียด้วยซ้ำ! อย่างไรเสีย ก็เป็นไปได้มากว่าอาจต้องทิ้งชีวิตไปในภารกิจชั้นสำริดที่จะทำในภายภาคหน้า แต่อย่างไรก็ตาม อยู่ร่วมกันมาถึงหกปี คนมิใช่สัตว์เลือดเย็น ถึงที่สุดแล้วก็ต้องเกิดความรู้สึกขึ้นมาบ้างเล็กน้อย

หลังได้ยินคำพูดของข่งโยวเยวี่ย ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่อยากจะเชื่อ

“ไม่น่าเชื่อเลยว่านางจะเป็นคนเช่นนี้!”

หัวใจหนักอึ้งราวกับมีก้อนหินมหึมากดทับ

ทนรับได้ยากยิ่ง

หลอกลวง ที่แท้แล้วตนถูกหลอกลวงมาตลอด! น่าขันที่ตนยังคิดว่าโยวเยวี่ยมีใจให้มาตลอด หากตนอยากจะแต่งงานด้วยก็ง่ายดาย แสนสบายยิ่ง แต่ความจริงก็คือ...ข่งโยวเยวี่ยไม่ได้ชมชอบตนจริงๆ เลยสักนิด

ก็ถูก! ตนไม่น่าสนุก มักจะใฝ่ใจมุ่งวิถีหอกเสมอ ไม่รู้จักหยอกล้อคนเลยสักนิด...

“ทว่าเหตุใดจึงหลอกข้ามาตลอดเล่า”

“สมควรตาย สมควรตาย สมควรตาย”

ในใจของตงป๋อเสวี่ยอิงมีเพลิงลุกโชน หกปีมานี้ดูราวกับเป็นความสัมพันธ์ที่ธรรมดาที่สุด นับไม่ได้ว่าเป็นความรัก และก็นับไม่ได้ว่าเป็นมิตรภาพ

แต่แท้จริงแล้วเป็นการหลอกลวงทั้งเพ! เป็นการเสแสร้งทั้งนั้น!

“ที่แท้แล้วนางเป็นคนเช่นนี้เอง” เดิมทีตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าข่งโยวเยวี่ยน่าเอ็นดูและเข้าใจจิตใจคนยิ่ง แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่านาง...น่าขยะแขยง!

ใช่แล้ว

เพื่อนของเขาเองก็มีไม่มากอยู่แล้ว ข่งโยวเยวี่ยก็นับว่าเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งแล้ว! แต่กลับหลอกลวงเสแสร้งแกล้งทำมาตลอด ถึงขั้นเชื่อเข้ากระดูกดำว่าตนเป็นเพียงแค่คนคลั่งยุทธ์ผู้หนึ่งเท่านั้น

“เหตุใดข้าจึงโกรธถึงเพียงนี้ มีอะไรน่าโกรธกัน แต่ไหนแต่ไรข้าไม่เคยชมชอบนางอย่างเร่าร้อนหรือว่าใจเต้นเพราะนางสักเท่าไหร่” ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะเยาะตนเอง ไม่ว่าจะปลอบตนเองอย่างไร ความรู้สึกตลอดหกปีมานี้ล้วนแต่หลอกลวงทั้งนั้น ก็ยังทำให้เขาไม่สบายใจมากอยู่ดี

  ******

ข่งโยวเยวี่ยยิ้มพูดว่า “เมือเทียบกันแล้ว คุณชายน้อยซือเฉินแห่งตระกูลซือผู้นี้เฉลียวฉลาดทรงปัญญากว่ามาก แม้ว่าจะทึ่มไปบ้าง แต่อย่างน้อยก็ยังมีความคิดที่จะหยอกล้อคนบ้าง”

“ซือเฉินเกี้ยวพาเจ้าหรือ” ข่งเฮ่าเบิกตาโพลง

“อื้อ” ข่งโยวเยวี่ยพยักหน้าเบาๆ

ข่งโยวเยวี่ยมีคุณสมบัติดึงดูดคนโดยแท้ รูปโฉมก็งดงามยิ่ง ทั้งยังน่ารักน่าเอ็นดู! บวกกับพบเห็นจิตใจคนมาตั้งแต่เด็กจนชิน จึงเข้าใจจิตใจคนได้แม่นยำนัก เมื่อคืนวันผ่านไปนานเข้า คุณชายน้อยซือเฉินก็ค่อยๆ สนใจข่งโยวเยวี่ยขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว แล้วก็เริ่มตามติดข่งโยวเยวี่ย เพียงแต่นางรักษาระยะห่างกับซือเฉินมาตลอด

“ท่านชอบซือเฉินหรือ” ข่งเฮ่าตกตะลึงอีกครั้ง

ข่งโยวเยวี่ยหยุดนิดหนึ่งก่อนจะพูดว่า “นิดหน่อยกระมัง”

เป็นไปได้อย่างไรกัน

นางจะชมชอบบุรุษผู้หนึ่งอย่างง่ายดายเช่นนั้นได้อย่างไรกัน ทว่านางรู้สึกว่า‘ซือเฉิน’เป็นเหยื่อที่ดีกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจริงๆ! ทั้งอ่อนวัยกว่า หล่อเหลากว่า และที่สำคัญที่สุดก็คือมีทั้งเบื้องหลังและอนาคตที่ดีกว่า! หากเทียบกันแล้วตงป๋อเสวี่ยอิงก็เป็นแค่ตอไม้ ไม่น่าสนุกเลยสักนิด อีกทั้งก็ไม่ได้มีใจให้นางมากสักเท่าใดนัก ไร้รสชาติเกินไปแล้ว

“ท่านพี่ ท่านคิดจะทำอย่างไรต่อ” ข่งเฮ่าถามอย่างใคร่รู้

“ข้ายังไม่ได้ตัดสินใจแน่นอน ปล่อยให้ค่อยๆ เป็นไปตามธรรมชาติเถอะ” ข่งโยวเยวี่ยพูด แต่นางตัดสินใจแล้ว

แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าน้องชาย คำพูดบางอย่างก็ยังต้องปิดบังไว้! มิเช่นนั้นจะทำให้น้องชายรู้สึกว่าพี่สาวคนนี้ไร้หัวใจ ร้ายกาจเกินไปก็คงไม่ค่อยดีนัก

  ……

ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินอยู่บนทางเดินที่ทำจากแผ่นหินภายในปราการเมือง ทั้งร่างมีกลิ่นอายเยียบเย็นแผ่ซ่าน บ่าวรับใช้เหล่านั้นล้วนไม่กล้าเข้าใกล้ พวกเขาล้วนรู้สึกได้ว่าใต้เท้าเจ้าแดนของพวกตนนั้นเหมือนอารมณ์จะไม่สู้ดีนัก

ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินไปถึงนอกประตูเรือนเล็กของข่งโยวเยวี่ย

“ปัง”

 เมื่อมือกดบนประตูเรือน เสาประตูก็พลันสะเทือนหักลง เขาผลักประตูตรงเข้าไป

“ผู้ใดกัน” เสียงของข่งโยวเยวี่ยยังคงนุ่มนวลแฝงความสนใจใคร่รู้เช่นนั้นดังเดิม เห็นเพียงข่งโยวเยวี่ยและข่งเฮ่าเดินออกมาจากในห้อง พวกเขาทั้งสองก็เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงที่ยืนอยู่กลางเรือน

“พี่เสวี่ยอิง! ”ข่งโยวเยวี่ยตะโกนเรียกอย่างยินดี

แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ตรงนั้น กลิ่นอายรอบด้านราวกับจับตัวแข็งแล้ว ความกดดันสายหนึ่งแพร่สะพัดมา ทำให้ข่งโยวเยวี่ยและข่งเฮ่าล้วนตัวสั่นเทิ้ม

“คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้า ข่งโยวเยวี่ยจะเป็นคนเช่นนี้” เสียงของตงป๋อเสวี่ยอิงแหบแห้ง “ข้าไม่เข้าใจความน่าสนุกจริงๆ เป็นคนคลั่งยุทธ์ที่รู้จักแต่ฝึกหอกเท่านั้น”

ข่งเฮ่าเบิกตาโพลง

ข่งโยวเยวี่ยก็ตระหนกตกใจเช่นกัน

เหตุใดเขาจึงรู้แล้วเล่า

ทว่า ‘ไม่เข้าใจความน่าสนุก’ ‘คนคลั่งยุทธ์’ นี่ แสดงว่าตงป๋อเสวี่ยอิงรู้เรื่องการสนทนากันของพวกเขาก่อนหน้านี้ จะปิดบังอย่างไรก็ไร้ประโยชน์แล้ว

“พี่เสวี่ยอิง ข้าขอโทษ นี่ล้วนเป็นท่านพ่อที่บังคับข้าให้ทำเช่นนี้” ข่งโยวเยวี่ยพูด “ข้าก็ไม่อยากหรอก”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงแค่มองนางอย่างเย็นชา

ก่อนหน้าฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่ง เขาจำสีหน้าของข่งโยวเยวี่ยเมื่อก่อนได้อย่างชัดเจน สีหน้าเหยียดหยามเช่นตอนพูดว่าเขาเป็นคนคลั่งยุทธ์นั้น...นางไม่เคยเผยออกมาตอนที่อยู่ร่วมกับเขาเลย แต่หลังฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่ง เขาได้เห็นสีหน้าครั้งนี้ของนางแล้ว ในยามนี้นางจะเสแสร้งอย่างไร เขาจะไปเชื่อลงที่ไหนกัน

เมื่อถูกตงป๋อเสวี่ยอิงจ้อง ข่งโยวเยวี่ยก็สัมผัสได้ถึงความกดดันอันไร้รูปร่าง ทำให้นางกระวนกระวายใจ ทำให้จิตใจที่สงบนิ่งตลอดมานั้นเริ่มครั่นคร้ามขึ้นมาแล้ว นางเฉลียวฉลาดรู้ใจคน ดังนั้นไม่ว่าเวลาใดก็ล้วนรู้ว่าควรจะรับมืออย่างไร แต่ในยามนี้นางถูกตงป๋อเสวี่ยอิงจ้องเสียจนตื่นเต้นกระวนกระวายขึ้นมาแล้ว

นางไม่รู้ว่า แท้จริงแล้วนี่คือการกดดันพละกำลังของจิตวิญญาณอย่างหนึ่ง!

หลังฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่งแล้ว พละกำลังของจิตวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงแกร่งกล้าถึงระดับใด เมื่อถูกสายตาของเขาจับจ้อง ก็กดดันไม่แพ้สายตาของคนนับหมื่นจับจ้องมาพร้อมกัน!

“ข้าไปแล้ว ตอนนี้ก็จะไปแล้ว”

ข่งโยวเยวี่ยไม่อธิบายอะไรอีก หันหลังเข้าไปเก็บข้าวของในห้อง

ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ในเรือนอย่างเงียบๆ เพียงครู่เดียวก็เห็นข่งโยวเยวี่ยและข่งเฮ่าถือหีบคนละใบ เดินออกไปจากบ้านอย่างรวดเร็ว

  ……

“คุณหนูโยวเยวี่ย”

เหล่าทหารนอกประตูเมืองยังทักทายนางอย่างเกรงอกเกรงใจยิ่ง

ข่งโยวเยวี่ยทำได้เพียงฝืนยิ้ม พาน้องชายออกจากปราการเมืองแล้วมุ่งตรงไปยังหอนักเวทย์

“เขารู้เรื่องที่ข้าคุยกับน้องชายได้อย่างไรกัน” ข่งโยวเยวี่ยหันกลับไปมองปราการเมืองศิลาหิมะ นางเข้าใจดีว่า หลังจากนี้ไปเกรงว่าคงจะเข้าปราการเมืองแห่งนี้ได้ยากแล้ว “ยังไม่สามารถทำให้ซือเฉินตกหลุมรักนางได้เลย ตอนนี้ทะเลาะจนแตกหักกับตงป๋อเสวี่ยอิงช่างไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย รออีกสักพักหนึ่งให้ทางซือเฉินเข้าที่เข้าทางก็จะยิ่งดีแล้ว”

“พอเถอะ พอเถอะ ในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว มาสำนึกเสียใจก็ไร้ประโยชน์”

“เฮอะ คนคลั่งยุทธ์ผู้หนึ่งมีอะไรน่าภูมิใจนักหนากัน”

“ก็แค่พอมีชื่อเสียงนิดหน่อยในเมืองอี๋สุ่ยเล็กๆ นี่เท่านั้นเอง เมื่ออยู่ต่อหน้าตระกูลซือเขาจะนับเป็นอะไรได้ แต่ว่าได้คทาเวทย์กับอาภรณ์เครื่องมือนักเวทย์ชุดหนึ่งจากเขาก็นับว่าไม่เลวแล้ว” ข่งโยวเยวี่ยแอบคิดในใจ

  ……

“ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นคนเช่นนี้ เรื่องมองคนนี่ ข้าตงป๋อเสวี่ยอิงใช้ไม่ได้เลยจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถลาครั้งเดียวก็ลอยไปถึงหลังคาหอหลักแห่งปราการเมือง แล้วนั่งอยู่บนหลังคาทอดสายตาลงมามองแดนอินทรีหิมะอันกว้างใหญ่ “พบเจอคนมาน้อยเกินไป จึงถูกหลอกลวงเช่นนี้เอง”

“พอแล้ว ถือเสียว่าเป็นประสบการณ์อย่างหนึ่งก็แล้วกัน”

เดิมทีตงป๋อเสวี่ยอิงก็เป็นปรมาจารย์วิถีหอกยาว และที่เขาสามารถฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่งได้เพราะหลังจากเขตแดนวิถีหอกยาวสูงพอแล้วก็รู้แจ้ง จากนั้นก็ค่อยๆ สัมผัสฟ้าดินได้

พื้นฐานจิตใจของเขาก็คมกริบดุจเดียวกับหอกยาว

ดาบเร็วฝ่าฟันอุปสรรคยุ่งยาก!

ในเมื่อหญิงผู้นี้มีใจหลอกลวง เช่นนั้นก็ต้องขับไล่นางออกไปจากปราการเมืองศิลาหิมะ ไม่มีข้อผูกพันข้อกังหาอะไรอีกต่อไป

“นางก็คือนาง ข้าก็คือข้า บางทีเช่นท่านพ่อท่านแม่...ความรักก่อเกิดระหว่างความเป็นความตาย สามารถฝากชีวิตความเป็นความตายไว้ได้ อาจจะเหมาะกับข้ามากกว่ากระมัง” ทันใดนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็หัวเราะออกมาครั้งหนึ่งแล้วเงยหน้าดื่มสุรา ผู้ที่ฝึกฝนจิตวิญญาณจนถึงระดับเดียวกับเขานี้ เดิมทีก็ไม่มีความรู้สึกลึกล้ำเข้ากระดูกดำจริงๆ บอกว่าตัดขาดก็ตัดขาดได้แล้ว

“อืม ข้าฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่งแล้ว วิธีก้าวเข้าสู่ชั้นเหนือธรรมดาวิธีใดที่เหมาะกับข้ามากกว่าหนอ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเริ่มครุ่นคิดหาทางก้าวเข้าสู่ชั้นเหนือธรรมดาแล้ว ชีวิตเหนือธรรมดาต่างหากจึงจะเป็นสิ่งที่เขาใฝ่หา!

…………………………………………………………