Chapter0056

ภาค 3 เซี่ยงผางอวิ๋น ปะทะ ตงป๋อเสวี่ยอิง

ตอนที่ 1 วิถีหอกยาวมวลน้ำแข็งขั้นฝนโลหิต

ณ สนามฝึกยุทธ์ ปราการเมืองศิลาหิมะ

“ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว...”

เมื่อหอกเทพหิมะเหินร่ายรำ ก็ย่อมมีเกล็ดหิมะล่องลอยตามมา

ท่ามกลางเกล็ดหิมะปลิวลอย มีเส้นสายแปลบปลาบรางๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงในชุดดำทั้งร่างแสดงวิถีหอกยาวอยู่อย่างตั้งอกตั้งใจ วิถีหอกยาวในยามนี้แตกต่างกับวิถีหอกยาวมวลน้ำแข็งขั้นหิมะปลิวอย่างสิ้นเชิง วิถีหอกยาวหิมะปลิวนั้นหอกเหมือนเป็นดอกไม้ที่ผลิบานทีละดอกๆ  แต่หอกยาวของตงป๋อเสวี่ยอิงในยามนี้ ทุกครั้งที่แทงออกไปแล้วเก็บกลับมานั้นเมื่อเทียบกันแล้วถือว่าเล็กกว่า

ทว่าสายพลังพลิกหมุนนั้นกลับใหญ่ขึ้น! ทั้งยังมีพลังแห่งฟ้าดินผสานรวมเข้ามาที่ปลายหอก

สายพลังพลิกหมุนอันแกร่งกล้า และอาศัยแรงจากพลังแห่งฟ้าดินจำนวนมากที่เหนี่ยวนำเข้ามา เพียงหอกยาวเก็บกลับมาเล็กน้อยก็แทงหอกที่สองออกไปอย่างต่อเนื่อง! ดวงตาก็เห็นร่องรอยการเคลื่อนไหวระหว่างปลายหอกที่กลายเป็นเงารางทั้งสองเกิดเป็นเส้นสายหนึ่งได้อย่างเลือนราง

เงาหอกและเส้นสายนับไม่ถ้วน

ราวกับฝนพัดโปรยต่อกันเป็นเส้นสาย

นี่ก็คือวิถีหอกยาวมวลน้ำแข็งขั้นที่สอง ฝนโลหิตนั่นเอง!

“กระบวนท่านี้ แทบจะนำพลังแห่งฟ้าดินมาใช้จนถึงขีดจำกัดอย่างเหลือเชื่อ การใช้พลังฟ้าดินอย่างเต็มที่ทั้งหมด ทำให้วิถีหอกยาวของตนเร็วยิ่งขึ้น”ตงป๋อเสวี่ยอิงตะลึง ความต้องการด้านความเร็วของผู้อาวุโส ‘กู่หยวนหาน’ ผู้สร้างสรรค์วิถีหอกนี้ขึ้นมานั้นถึงระดับที่ทำให้คนตกตะลึง แม้ตนจะฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่งแล้ว แต่ก็ต้องใช้เวลาเรียนกระบวนท่านี้เพียงท่าเดียวถึงหกวันเต็มๆ

หากให้ตนสร้างสรรค์แล้ว กระบวนท่านี้กำหนดเงื่อนไขด้านพละกำลังของร่างกาย การหมุนถ่ายพลังภายในวิถีหอกยาวและอาศัยการหมุนถ่ายพลังฟ้าดินสูงเกินไป เกรงว่าไม่น่าจะสร้างสรรค์ออกมาได้

แน่นอนว่าขณะที่กู่หยวนหาน อัศวินมวลน้ำแข็งท่านนี้มีพลังอยู่ในชั้นเหนือธรรมดาระดับกลางขั้นสูง ได้ตัดสินใจบันทึกวิถีหอกยาวของตนเพื่อส่งต่อให้คนรุ่นหลัง จึงค่อยรวบรวมแก้ไขวิถีหอกยาวชุดนี้ขึ้น

“เมื่อศึกษาวิถีหอกยาวมวลน้ำแข็งขั้นฝนโลหิตได้แล้ว ความเร็ววิถีหอกยาวของข้าก็ยิ่งเพิ่มขึ้น หากตอนนี้พบเทวทูตผู้นั้นอีก จะฆ่าเขาก็สบายขึ้นมากแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มออกมา วิถีหอกยาวที่รวดเร็วพอสามารถทำให้ศัตรูต้องเปลืองแรงป้องกันมาก ถึงขั้นเผยจุดอ่อนออกมาอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ ตนก็สามารถอาศัยโอกาสโจมตีสังหารอีกฝ่ายได้!

“เสวี่ยอิง” นอกลานฝึกยุทธ์มีคนผู้หนึ่งเดินเข้ามา เป็นจงหลิงนั่นเอง เขาอุทานว่า “วิถีหอกยาวของเจ้าถึงขั้นครบสมบูรณ์มาก่อนแล้ว ยังฝึกวิถีหอกยาวทุกวัน ทำให้ข้าละอายใจเสียจริง ข้าก็ควรออกแรงฝึกเพิ่มให้มากหน่อย”   

“ยิ่งฝึกวิถีหอกยาว ก็ยิ่งทำให้รู้สึกถึงความเล็กจ้อยของตน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้ามองท้องฟ้า “ฟ้าดินและธรรมชาติ เร้นลับไร้ขีดจำกัด! พวกเราเป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น ยิ่งข้าฝึกวิถีหอกยาวนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้เกิดความฉงนว่า ความเร้นลับแห่งวิถีหอกยาวของข้านั้น...เมื่อเปรียบเทียบกับความเร้นลับของฟ้าดินและธรรมชาติแล้วยังแตกต่างกันลิบลับ ไม่ควรค่าแก่การพูดถึงจริงๆ”

“ฮ่าฮ่า พอแล้วล่ะ ฟ้าดินและธรรมชาติอะไรกัน ที่เจ้าพูดมานั้นพวกเราล้วนสัมผัสไม่ถึง น่าสงสารกว่าหรือไม่เล่า” จงหลิงพูดหยอก

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็หัวเราะร่า

เขาก็เพิ่งจะสัมผัสความเร้นลับของฟ้าดินและธรรมชาติได้ชัดเจนยิ่งขึ้นหลังฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่งนี่เอง จิตวิญญาณของเขาสามารถโบยบินไปพร้อมกับสายลม ทะยานขึ้นไปพร้อมกับเปลวเพลิง สัมผัสความตื้นลึกหนาบางพร้อมกับผืนดิน และหลั่งไหลไปพร้อมกับสายน้ำได้...และเป็นเพราะยิ่งสัมผัสได้ชัดเจน จึงยิ่งรู้ถึงความเร้นลับและความกว้างใหญ่ของฟ้าดินและธรรมชาติ ในใจก็เกิดความเกรงขามขึ้นมา

ดังเช่นวิถีหอกยาวของตน ขณะป้องกันนั้นมีความเร้นลับของสายน้ำไหล ทว่าจิตวิญญาณและน้ำผสานรวมกันอย่างสมบูรณ์ สัมผัสได้ถึงการไหลอย่างเป็นธรรมชาติของน้ำ...แต่กลับพบว่าวิถีหอกยาวของตนนั้นอ่อนด้อยเพียงใด! เป็นความแตกต่างเหมือนเด็กน้อยวาดรูปนามธรรมและทัศนียภาพอันงดงามของธรรมชาติที่เป็นจริง

แน่นอนว่า...

ไม่ถึงขั้นฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่ง สัมผัสคงไม่แรงกล้าเช่นนี้

“ท่านอาจง” ตงป๋อเสวี่ยอิงถามอย่างอยากรู้ว่า “เหตุใดวันนี้ข้าจึงไม่เห็นชิงสือเล่า แม้แต่ข้าวเที่ยงก็ไม่กลับมาอย่างนั้นหรือ”

“ได้ยินทหารพูดว่า ชิงสือและคนรักของเขานำทหารจำนวนหนึ่งลงเขาไปเที่ยวเล่นที่เมืองอี๋สุ่ยตั้งแต่เช้าแล้ว” มือทั้งหกของจงหลิงถือดาบโค้งหกเล่ม เริ่มแสดงวิถีดาบเพื่ออบอุ่นร่างกายแล้ว “คนหนุ่มสาวเอ๋ย ประเสริฐแท้!”

“อ้อ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า ความสัมพันธ์ของชิงสือและคนรักสาวตัวน้อยดีมากจริงๆ ไม่กี่วันพวกเขาก็จะไปเที่ยวเล่นที่เมืองอี๋สุ่ยครั้งหนึ่ง เขาก็ไม่แปลกใจอะไร

  ******

อาทิตย์อัสดงลับฟ้าไปทางทิศตะวันตก

เหล่าทหารกองหนึ่งกำลังยืนรักษาการณ์อยู่ข้างทาง ด้านข้างก็คือหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่กำลังเดินเล่นผ่อนคลาย ชื่นชมทิวทัศน์ดอกไม้ใบหญ้าอันงดงามข้างๆ

คู่รักหนุ่มสาวคู่นี้ก็คือชิงสือและจีหรง

“บุปผาน้อยนี่งามจริง พื้นที่ทางพวกเรานี่ มีเพียงฤดูร้อนเท่านั้นที่จะได้เห็นดอกไม้ใบหญ้ามากหน่อย ยามปกติแล้วโดยมากก็หนาวเหน็บยิ่ง อาจถึงขั้นหิมะปกคลุมเสียด้วยซ้ำ” จีหรงเด็ดดอกไม้สีเหลืองดอกเล็กขึ้นมาเสียบลงไปบนเรือนผมของตนแล้วหันไปมองชิงสือพลางยิ้มสดใสขึ้นมา “สวยหรือไม่”

   

“สวย ทั่วทั้งเมืองอี๋สุ่ยก็ไม่มีหญิงงามที่สวยเท่านี้หรอก” ชิงสือก็ยิ้มตอบ

แม้หลายวันก่อนพวกเขาทั้งสองจะมีเรื่องไม่ถูกใจกัน ทว่าตั้งแต่นั้นมา จีหรงก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องเหล่านั้นอีก แน่นอนว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนก็ค่อยๆ ฟื้นกลับมาเหมือนตอนเริ่มแรก ครั้งนี้ไปเที่ยวเมืองอี๋สุ่ยด้วยกัน ทั้งสองล้วนอารมณ์ดีเป็นที่สุด

“ปากท่านช่างหวานเสียจริง!” จีหรงสัพยอก “เหตุใดตอนแรกข้าจึงดูไม่ออกว่าปากท่านหวานถึงเพียงนี้กันนะ ทว่าพูดถึงหญิงงาม พี่โยวเยวี่ยยังสวยกว่าข้าเสียอีก ใช่แล้ว ข้าพบว่าหลายวันนี้พี่โยวเยวี่ยล้วนไม่ได้ไปที่ปราการเมืองเลย ทำไมกัน นางกับท่านพี่เจ้าเกิดปัญหาอะไรกันขึ้นใช่หรือไม่” 

“อืม” ชิงสือพยักหน้า “ข้าก็พบว่าพี่โยวเยวี่ยไม่ได้ไปที่ปราการเมืองเลย ข้าถามท่านพี่แล้ว ท่านพี่บอกข้าว่าอย่าถาม ยังบอกด้วยว่าต่อจากนี้ไปพี่โยวเยวี่ยจะไม่กลับมาที่ปราการเมืองอีก และยังบอกให้ข้ารักษาระยะห่างกับนางหน่อย”

“เห็นทีจะเแยกทางกันแล้ว” จีหรงเอ่ย

“อาจจะใช่กระมัง” ชิงสือยิ้ม “ที่จริงแล้วแต่ไหนแต่ไรท่านพี่ข้าและพี่โยวเยวี่ยก็ไม่เคยเริ่มต้นเลย”

     

จีหรงก็ยิ้ม

นางได้ใจและโล่งใจอยู่บ้าง ท่ามกลางบรรดาศิษย์สาวในสำนักของไป๋หยวนจือเหล่านี้ แม้นางจะมั่นใจในรูปโฉมและท่วงทีของตนเอง ทว่าก็มักจะถูกข่งโยวเยวี่ยข่มรัศมี! ที่จริงแล้วหากพูดถึงรูปโฉมเพียงอย่างเดียว นางก็งดงามมากแล้ว ดวงตากก็ยิ่งดึงดูดผู้คน เพียงแต่ร่างกายเล็กไปหน่อยเท่านั้น ทว่ารูปร่างสัดส่วนก็ยังคงดีมากเช่นเดิม ร่างเล็กปราดเปรียว เมื่อเทียบกันแล้วข่งโยวเยวี่ยสูงโปร่งอรชรอ้อนแอ้นกว่าบ้าง อีกทั้งข่งโยวเยวี่ยเหมือนจะดีกับทุกคน จึงมีศิษย์มากมายล้วนชมชอบนาง รวมกับความสัมพันธ์อันไม่ชัดเจนของนางและตงป๋อเสวี่ยอิง จึงย่อมกลายเป็นบุคคลชั้นนำของเหล่าศิษย์สาว

“ตึ้ก ตึ้ก ตึ้ก ! ! !” ทางเดินด้านข้างปรากฏเสียงกีบเท้าม้าหนักอึ้ง

ทหารม้าสวมเกราะสีแดงหม่นกำลังใกล้เข้ามา

ผู้ที่นำหน้าทหารม้ามา คือหนุ่มน้อยนัยน์ตาสามเหลี่ยมสวมอาภรณ์ขาวอันวิจิตรงดงาม เขามองซ้ายมองขวา ท่าทางอารมณ์พลุ่งพล่าน

“พี่จ้าว เมืองอี๋สุ่ยนี่เป็นเมืองเล็กๆ ที่ห่างไกลเสียจริง เมื่อเปรียบกับตัวเมืองของเราแล้ว แตกต่างกันตั้งไม่รู้เท่าไหร่ แต่สาวงามตัวน้อยสองนางที่ผู้ครองเมืองอี๋สุ่ยผู้นั้นส่งมาก็ไม่เลวเลย” หนุ่มน้อยนัยน์ตาสามเหลี่ยมสวมอาภรณ์ขาวหัวเราะแหะๆ ข้างกายของเขาเป็นอัศวินอาภรณ์สีเทาท่าทีเย็นชาผู้หนึ่ง “คุณชายน้อย ท่านเที่ยวก็เที่ยวให้พอ ประเดี๋ยวเข้ากองทัพแล้วก็ต้องเชื่อฟังทำตามกฎนะขอรับ หากอยู่ที่อื่น ใต้เท้าท่านก็ล้วนสามารถควบคุมได้! แต่ในกองทัพไม่ใช่ว่าจะให้ท่านไปก่อเรื่องวุ่นวายได้ง่ายๆ”

“วางใจเถอะ วางใจเถอะ เข้ากองทัพแล้วข้าย่อมไม่ก่อเรื่องวุ่นวายแน่”

ทันใดนั้นตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมา เมื่อเห็นจีหรงที่อยู่กับตงป๋อชิงสืออยู่ไกลๆ หัวใจก็เต้น น้ำลายก็ไหลอย่างอดมิได้ “พี่จ้าว ดูสิ แม่นางน้อยที่งดงามนัก มีรสชาติจริงๆ”

จีหรงอายุเพียงสิบหกปี ยังดูอ่อนวัยอยู่เล็กน้อย แต่กลับมีทรวดทรงชัดเจนมากแล้ว ด้วยความที่เป็นนักเวทย์สาว ท่วงทีก็ใช่ว่าหญิงสามัญจะมาเทียบได้ บนศีรษะยังเหน็บดอกไม้ป่าดอกหนึ่งไว้ด้วย...ยิ่งทำให้หัวใจของหนุ่มน้อยนัยน์ตาสามเหลี่ยมสวมอาภรณ์ขาวคันยุบยิบ นักเวทย์สาวมีจำนวนน้อยมากอยู่แล้ว นักเวทย์สาวสวยก็หาได้ยากยิ่งกว่า จึงได้รับความสนใจจากเหล่าคหบดีและชนชั้นสูงบางพวก

“นี่ แม่นาง” หนุ่มน้อยนัยน์ตาสามเหลี่ยมสวมอาภรณ์ขาวตะโกนคำหนึ่ง เมื่อกระโจนลงจากหลังม้าย่ำหิมะก็เดินออกจากทางหลวงในทันทีแล้วมุ่งหน้าใกล้เข้าไปทางนั้น เขาหัวเราะคิกคักพลางพูดว่า “พี่ชายพาเจ้าไปเที่ยวดีหรือไม่ เด็กหน้าโง่ข้างเจ้านั่นเด็กเกินไป ไม่รู้จักรสชาติของสาวงามหรอก พี่ชายจะทำให้เจ้าเข้าใจเอง”

“เฮอะ”

ชิงสือและจีหรงต่างก็สีหน้าเปลี่ยนไปในทันใด เหล่าทหารของแดนอินทรีหิมะข้างๆ แต่ละคนยิ่งโกรธหนัก ถึงขั้นที่หลายคนหยิบธนูทลายดาวบนหลังมาถือไว้ในมือแล้ว

“เจ้าเป็นใคร” ชิงสือแค่นเสียงเย็นชา อย่างน้อยในเมืองอี๋สุ่ยก็ยังไม่มีใครกล้าท้าทายเขา

“คุณชายน้อยขอรับ” อัศวินชุดเทาผู้นั้นมองแวบเดียวก็จำรอยประทับบนเกราะของทหารเหล่านี้ได้ จึงรีบขี่ม้าเข้ามาใกล้แล้วกดเสียงลงต่ำพูดว่า “นี่คือคนของแดนอินทรีหิมะแห่งเมืองอี๋สุ่ย ตงป๋อเสวี่ยอิงเจ้าแดนอินทรีหิมะเมื่ออายุได้สิบห้าปีก็เข้าไปในแนวเขาทำลายล้างสังหารราชันย์หมาป่าจันทร์เงิน ตอนนี้ควรจะเป็นอัศวินจันทร์เงินแล้ว! พวกเราอยู่ห่างจากกองทัพอีกไม่มากแล้ว อย่าก่อความวุ่นวายเลยจะดีกว่านะขอรับ”

“ตงป๋อเสวี่ยอิงแห่งแดนอินทรีหิมะรึ”หนุ่มน้อยนัยน์ตาสามเหลี่ยมสวมอาภรณ์ขาวขมวดคิ้ว หากอยู่ในตัวเมืองเมืองชิงเหอ เขาไหนเลยจะสนใจตงป๋อเสวี่ยอิงผู้หนึ่ง ในตัวเมืองตระกูลของเขามีพลังอำนาจยิ่งใหญ่ แม้ทุกที่จะต้องฟังคำของตระกูลเซียวก็ตาม! แต่จะดีร้ายอย่างไรก็ยังแข็งแกร่งมากอยู่ดี ย่อมดูแคลนตระกูลในเมืองเล็กๆ ห่างไกลแห่งนี้อยู่แล้ว

ทว่าอย่างไรเสีย ครั้งนี้ก็แค่นำกองทหารคุ้มกันออกมากองหนึ่งเท่านั้น ผู้นำกองทหารคุ้มกันเป็นอัศวินดาวตก เมื่อเผชิญหน้ากับแดนอินทรีหิมะ ก็ยังคงต้านไม่ไหวอยู่บ้าง   

แม้ในใจจะยอมตีกลองล่าถอยแล้ว ทว่าหนุ่มน้อยนัยน์ตาสามเหลี่ยมสวมอาภรณ์ขาวก็ไม่ยอมเสียท่าเลยสักนิด เขาหัวเราะเหยียดหยามคราหยึ่ง “ข้าเป็นใครน่ะหรือ ฮึฮึ ตระกูลในพื้นที่เล็กๆ ห่างไกลเช่นพวกเจ้ายังไม่มีคุณสมบัติจะได้รู้หรอก!”

“เจ้าฟังให้ชัดนะ” จีหรงที่ยืนอยู่ข้างชิงสือก็พูดอย่างโกรธเคือว “เขาคือตงป๋อชิงสือแห่งแดนอินทรีหิมะ! พี่ชายเขาคือตงป๋อเสวี่ยอิงเจ้าแดนอินทรีหิมะ! เจ้าถึงกับกล้ามาหยอกเย้าข้า...ชิงสือ เจ้านี่ก็ไม่มีการตอบโต้ใดแม้แต่น้อย ยอมให้เขาหยอกเย้าข้าเล่นอย่างนั้นหรือ”

“สำนึกผิดกับนางเดี๋ยวนี้” ชิงสือจะยอมเสียหน้าต่อหน้าคนรักได้อย่างไร “มิฉะนั้นเจ้าก็อย่าได้คิดจะเดินออกไปจากเขตแดนเมืองอี๋สุ่ยเลย!”

“โถๆ ร้ายกาจพอตัวทีเดียว” เดิมทีหนุ่มน้อยนัยน์ตาสามเหลี่ยมสวมอาภรณ์ขาวคิดจะตีกลองล่าถอยแล้ว ทว่าคุ้นชินกับการโอ้อวดมานาน ในยามนี้เพลิงโทสะพลันลุกขึ้นมาแล้ว นัยน์ตาของเขาสาดประกายหนาวเหน็บ “ตระกูลเล็กๆ ในพื้นที่ห่างไกลก็กล้าโอ้อวดต่อหน้าข้าหรือ ไม่รู้จักเจียมตัวเลย! มา พวกผู้ชายฆ่าทิ้งให้หมด สาวงามตัวน้อยนั่นก็นำมาให้ข้าพาตัวไป”

เขาตัดสินใจแล้ว หลังฆ่าทิ้งหมดแล้วก็จะตรงไปยังกองทัพ กว่าตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นจะรู้ก็สายเกินไปแล้ว

“ขอรับ” เหล่าทหารเกราะสีแดงหม่นด้านหลังของเขาที่เดิมก็คุ้นเคยกับการกวาดล้างสังหารอยู่แล้วต่างก็รับคำสั่งทันที

“เจ้ากล้ารึ!” ชิงสือตกใจ แค่ให้สำนึกผิดก็ต้องฆ่าคนเลยหรือ

“มา”

คิ้วของอัศวินชุดเทาขมวดเล็กน้อยแต่ก็ยังคงกระโจนลงจากหลังม้าทันที ผิวกายปรากฏพลังการต่อสู้คุ้มกายสีเขียวขึ้นมาชั้นหนึ่ง สังหารเข้ามาอย่างรวดเร็วยิ่ง เมื่อเห็นฉากนี้ เหล่าทหารของแดนอินทรีหิมะที่อยู่ด้านหนึ่งล้วนสะดุ้งเฮือก อัศวินดาวตกหรือ ทหารของแดนอินทรีหิมะหยิบธนูทลายดาวขึ้นมา แต่ละคนล้วนตื่นตระหนกอยู่บ้าง ธนูทลายดาวสามารถคุกคามอัศวินดาวตกได้ก็จริงอยู่

แต่โดยทั่วไปแล้วจำเป็นต้องใช้ธนูทลายดาวกว่าร้อยคันล้อมโจมตีพร้อมกัน มิเช่นนั้นแล้ว ความเร็วของอัศวินดาวตกจะทำให้พวกเขาเล็งให้แม่นได้ยาก

“รีบกระจายออก กระจายตัวออก โจมตีบุรุษชุดขาวนั่น” เหล่าทหารมีประสบการณ์มากมาย แต่ละคนเริ่มกระจายออกอย่างรวดเร็ว

     

“ฆ่า”

เหล่าทหารเกราะสีแดงหม่นกลับพุ่งออกมาจนสิ้น

หนุ่มน้อยนัยน์ตาสามเหลี่ยมสวมอาภรณ์ขาวที่อยู่ไกลๆ นั้นกลับพลิกมือแล้วปรากฏโล่สกัดไว้ด้านหน้าตน ทั้งมีโล่ ทั้งหลบมาไกล เขาย่อมไม่กลัวธนูทลายดาว เขามองทั้งหมดแล้วยิ้มเย็น “เด็กน้อย โอ้อวดกับข้าอย่างนั้นหรือ รนหาที่ตายแท้ๆ”

“อา” อัศวินดาวตกเผชิญกับทหารสามัญก็เป็นการสังหารโหดโดยแท้ ทันใดนั้นทหารของแดนอินทรีหิมะที่คิดจะกระจายตัวออกมาก็ถูกฆ่าในดาบเดียว

ทหารเกราะสีแดงหม่นจำนวนมากกว่ามุ่งตรงมาสังหารตงป๋อชิงสือ

แต่ไหนแต่ไรชิงสือก็ไม่เคยพบเรื่องทั้งหมดนี้ เขาจึงตื่นเต้นตกใจ เวทมนตร์ในเครื่องมือนักเวทย์ของเขาย่อมไม่มีทางจะต่อกรกับคนมากมายเช่นนี้พร้อมกันได้ โดยเฉพาะเมื่อมีอัศวินดาวตกอยู่ในนี้ด้วย

เมื่อเขาพลิกมือ ก็ปรากฏสาส์นเวทมนตร์ม้วนหนึ่งขึ้นมา ในบรรดาสาส์นเวทมนตร์กองพะเนินที่ตงป๋อเสวี่ยอิงให้เขามานั้น มีม้วนหนึ่งที่เป็นถึงสาส์นเวทมนตร์ขั้นห้า

…………………………………………………..