บทที่ 18 รีบหนีเร็ว !
“อะไรนะ! นี่...นี่มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน” ผู้พิทักษ์กฎที่เหลือเพียงคนเดียวกำลังต่อสู้พัวพันอยู่กับถังสง เขาแตกตื่นอย่างยิ่ง
หลังจากสังหารเหลียงยงซึ่งเป็นผู้คุ้มกันไปแล้ว พวกเขาเหล่าผู้พิทักษ์กฎทั้งสามรับมือกับอัศวินจันทร์เงินสามคน หนึ่งในนั้นยังมี “ซือไป่หรง” ที่ค่อนข้างอ่อนด้อยอยู่อีกด้วย ผู้พิทักษ์กฎทั้งสามจึงยังมีความมั่นใจอยู่เต็มเปี่ยม
แต่เมื่อหนุ่มน้อยชุดดำผู้นี้ออกอาวุธ สถานการณ์ก็พลิกผันไป
“ตายเสียเถอะ” ถังสงผู้เปี่ยมประสบการณ์แค่นเสียงเฮอะดังลั่น เดิมทีประสบการณ์และเคล็ดวิชาของผู้พิทักษ์กฎผู้นั้นก็สู้ถังสงที่มีอายุถึงหนึ่งร้อยหกสิบปีไม่ได้อยู่แล้ว เขาถูกควบคุมเอาไว้ได้ ในยามนี้จึงตื่นตระหนกขึ้นมาจนเผยจุดอ่อนออกมาทันควัน ฉัวะ กระบี่สั้นขยับทีหนึ่ง หว่างคิ้วของผู้พิทักษ์กฎผู้นั้นก็ปรากฏจุดแดงจุดหนึ่งขึ้นมา ตาของเขาเบิกกว้างแล้วก็ล้มลงเสียงดังสนั่น
“พี่น้องเสวี่ยอิง วิถีหอกยาวเลิศล้ำโดยแท้” ถังสงหัวเราะร่า “วิถีหอกยาวที่คมคายคล่องแคล่วเช่นนี้ ข้าไม่ได้เห็นมานานมากแล้ว”
อวี๋จิ้งชิวก็มองหนุ่มน้อยชุดดำด้านหน้าผู้นี้อย่างแปลกใจเช่นกัน
“น่าเสียดายที่เหลียงยงพ่ายแพ้เร็วเกินไป ข้าช่วยไว้ไม่ทัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ
“เฮอะ”
ซือไป่หรงที่ยืนอยู่ท้ายสุดของกองกำลังมีสีหน้าหม่นหมอง ผู้คุ้มกันตายไปในสนามรบ เมื่อครู่เขาก็เพิ่งพ้นความตายมาได้อย่างฉิวเฉียด ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงจากเมืองอี๋สุ่ยอันห่างไกลที่เขามองแล้วรู้สึกไม่ค่อยเข้าตาอย่างมากผู้นั้นกลับเก่งกาจถึงเพียงนี้
จากนั้นซือไป่หรงก็ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเดินตรงไปข้างหน้าแล้วเก็บกำไลแขนที่อยู่บนแขนข้างที่ขาดของเหลียงยงขึ้นมา
ตงป๋อเสวี่ยอิง อวี๋จิ้งชิวและถังสงล้วนมองไปทางเขา
“อาเหลียงเป็นผู้คุ้มกันของข้า ข้าวของของเขาข้าย่อมนำกลับไปให้ตระกูลของเขาแน่นอน” ซือไป่หรงเอ่ย “สำหรับศพของเขานั้น ตอนนี้พวกเรายังต้องค้นหากันต่อไป...ศพเขาคงต้องวางไว้ที่นี่ชั่วคราวก่อน ย่อมต้องมีคนของหอภูผามังกรมาจัดการเก็บไปอยู่แล้ว”
“เฮ้อ ผู้ใดจะไปรู้เล่าว่าซือไป่หรงผู้นี้จะนำของในวัตถุเวทมนตร์อารักษ์ไปคืนจริงหรือไม่” ถังสงลอบทอดถอนใจ
เขาเห็นอะไรมามากเกินไปแล้ว
ตระกูลซือเป็นตระกูลใหญ่ มีมายาวนานหลายร้อยปี ทายาทสายตรงก็มากมายนัก มีทั้งดีเลวปะปนกันไป แม้ซือไป่หรงจะมีพรสวรรค์ด้านการฝึกฝนพลังการต่อสู้ค่อนข้างสูง แต่เห็นได้ชัดว่านิสัยธรรมดานัก แต่ตัวเขาถังสงก็ไม่อยากจะไปล่วงเกิน เพราะว่า “คนต่ำช้า” ในบางครั้งก็รับมือได้ยากที่สุดและน่ากลัวที่สุด
“กึก กึก กึก” อวี๋จิ้งชิวเดินขึ้นไปข้างหน้า ทันใดนั้นใต้ฝีเท้าของนางก็เต็มไปด้วยไอหนาว ในชั่วขณะนั้นไอหนาวนับไม่ถ้วนก็แผ่กระจายไปทั่วทำเอาศพของเหลียงยงจับตัวแข็ง ชั้นน้ำแข็งชั้นหนึ่งปกคลุมเหลียงยงเอาไว้
“ไม่นึกเลยว่าสามคนนี่จะไม่มีวัตถุเวทมนตร์อารักษ์แม้แต่ชิ้นเดียว” ถังสงค้นศพผู้พิทักษ์กฎทั้งสามอย่างชำนิชำนาญ “น่าแปลกใจจริงๆ ตามหลักแล้วอัศวินจันทร์เงินส่วนใหญ่ล้วนมีวัตถุเวทมนตร์อารักษ์ด้วยกันทั้งนั้น เอ้อ ตั๋วเงินที่พวกเขาติดตัวมาก็มีไม่มากนัก ใต้เท้าไป่หรง ท่านอาจจะต้องการตั๋วเงินพวกนี้กระมัง”
ซือไป่หรงตวัดสายตามองตั๋วเงินเหล่านั้นครู่หนึ่ง แต่เมื่อครู่เขาก็ไม่ได้ลงแรงอะไร เขาก็ยังต้องการรักษาหน้าอยู่บ้าง “ข้าไม่ได้สังหารศัตรูเลย”
“ท่านและตงป๋อเสวี่ยอิงแบ่งกันเถิด” อวี๋จิ้งชิวก็พูดขึ้นเช่นกัน
“ฮ่าฮ่า ข้าหนึ่ง เจ้าสองก็แล้วกัน” ถังสงส่งตั๋วเงินห้าหมื่นกว่าตำลึงให้ตงป๋อเสวี่ยอิง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รับเอาไว้โดยไม่ปฏิเสธ
“ไปเถอะ” อวี๋จิ้งชิวพูด
“ไปต่อเถอะ”
ในยามนี้แน่นอนว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเดินไปอยู่หน้าสุดของกองกำลัง ถังสงตามหลังอวี๋จิ้งชิวมา ส่วนซือไป่หรงกลับอยู่ท้ายสุด เห็นได้ชัดว่าเขากลัวขึ้นมาบ้างแล้วจริงๆ ทั้งตอนนี้ก็ไม่มีผู้คุ้มกันแล้วเสียด้วย
……
ต่อจากนั้นก็ราบรื่นนัก พวกเขาไม่พบกับดักกลไกที่ร้ายแรงอีกเลย หลังจากค้นหาทั้งแปดส่วนจนทั่วแล้ว กองกำลังของพวกเขาก็เริ่มมุ่งตรงไปยังใต้ดิน เห็นได้ชัดว่าปราการเมืองชั้นในยังมีชั้นใต้ดินอีกชั้นหนึ่ง
เลียบระเบียงบันไดไปไม่นานก็มองเห็นประตูตำหนักอันมหึมา
“ทุกท่านระวังด้วย ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของปีศาจมารสายหนึ่ง” มือของอวี๋จิ้งชิวกุมคทาเวทย์พลางพูดอย่างระมัดระวัง
“อืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ระแวดระวังขึ้นมา
ประตูตำหนักเปิดกว้างอยู่
งูน้ำแข็งยักษ์ที่หดเล็กลงไปรอบใหญ่เลื้อยตามกันเข้าไปในตำหนักใหญ่ พวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสี่คนก็ก้าวเข้าไปในตำหนักใหญ่เช่นกัน
“ใหญ่จริง” พวกเขาล้วนตกตะลึงอยู่บ้าง
ตำหนักใหญ่แห่งนี้สร้างขึ้นอย่างใหญ่โตยิ่ง ผนังตำหนักใหญ่นั้นยังสลักสัญลักษณ์ของเทพมารชั่วร้ายองค์หนึ่งเอาไว้ด้วย กลิ่นอายชั่วร้ายกำจายออกมา...ต่อให้เป็นเพียงภาพสัญลักษณ์ที่สลักไว้ แต่ก็ทำให้พวกตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกไม่สบายใจ
ด้านเหนือของตำหนักใหญ่มีบัลลังก์อยู่แท่นหนึ่ง
บนบัลลังก์นั้นมีบุรุษผู้แข็งแกร่งราวสัตว์ประหลาดคนหนึ่งนั่งอยู่อย่างสบายใจ ข้างบัลลังก์มีบุรุษผู้ที่ใบหน้าแฝงรอยยิ้มจางๆ ผู้หนึ่งยืนอยู่อย่างนอบน้อม เพียงมองแวบเดียวพวกตงป๋อเสวี่ยอิงก็จำได้แล้วว่า...คือ “หลูหวายหรู” เป้าหมายของพวกเขานั่นเอง
“คิดไม่ถึงว่าผู้พิทักษ์กฎสามคนจะไร้ประโยชน์ถึงเพียงนี้ ด้วยความช่วยเหลือของกับดักกลไกกลับฆ่าพวกเจ้าได้เพียงคนเดียวเท่านั้น” หลูหวายหรูยิ้มพลางพูดว่า “หากเป็นยามปกติแล้ว เกรงว่าเมื่อข้าเห็นท่าไม่ดีก็คงหนีเล็ดรอดออกไปผ่านทางลับแล้ว! ด้วยการสอดส่องติดตามร่องรอยของหอภูผามังกรนั้น ความเป็นไปได้ที่ข้าจะหนีได้สำเร็จนั้นต่ำเสียยิ่งกว่าต่ำ น่าเสียดาย ตอนนี้ข้าไม่จำเป็นต้องหนีแล้ว”
อวี๋จิ้งชิวกุมคทาเวทย์ ซือไป่หรงและถังสงล้วนมองไปยังบุรุษผู้แข็งแกร่งราวสัตว์ประหลาดที่อยู่บนบัลลังก์
พวกเขาแต่ละคนล้วนรู้สึกว่า กลิ่นอายที่แผ่กำจายออกมาจากบุรุษผู้แข็งแกร่งราวสัตว์ประหลาดผู้นี้แฝงไว้ด้วยแรงคุกคามอันรุนแรง
“เขาคือใคร” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้สึกได้ว่าแรงคุกคามจากบุรุษผู้แข็งแกร่งราวสัตว์ประหลาดผู้นี้รุนแรงนัก “หัวหน้าของแท่นบูชาย่อยแห่งนี้ไม่ใช่หลูหวายหรูหรอกหรือ บัดนี้หลูหวายหรูยืนอยู่ด้านข้างอย่างเคารพนบนอบ ส่วนบุรุษผู้ที่ร่างกายแข็งแกร่งยิ่งกว่าท่านอาถงของข้าอีกนั้นกลับนั่งอยู่บนบัลลังก์ เขาคือผู้ใดกัน”
“นักเวทย์จันทร์เงินผู้หนึ่ง”
บุรุษผู้แข็งแกร่งราวสัตว์ประหลาดพลันเปิดปากพูด เสียงของเขาสะท้อนก้องอยู่ในช่องอก เขาลูบเคราที่แข็งดุจเหล็กใต้คางของตนเอง นัยน์ตาทั้งสองข้างสาดประกายพลางมองอวี๋จิ้งชิว “อีกทั้งนักเวทย์สาวที่ทั้งอ่อนเยาว์และงดงามถึงเพียงนี้ เป็นผลงานชั้นยอดโดยแท้! ฮ่าฮ่า ข้าชมชอบนักเวทย์สาวผู้งดงามเป็นที่สุดแล้ว และยิ่งอ่อนเยาว์เช่นนี้ข้ายิ่งชอบ ว่ากันว่านักเวทย์สาวล้วนทรงปัญญาอย่างยิ่ง ได้ข่มเหงนักเวทย์สาวผู้ทรงปัญญาและงดงามเช่นพวกเจ้านี้ ทำให้ข้าสุขใจเสียจริง”
“ท่านคือ…” ถังสงชายชราผมขาวที่ขมวดคิ้วมองดูอยู่ตลอดพลันเบิกตาโพลง
เขานึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมา
สิ่งมีชีวิตอันโหดเหี้ยมอย่างหนึ่งที่หายสาบสูญไปแปดสิบกว่าปี
“หนีไป!” ถังสงหันไปแล้วแปรเป็นลำแสงพุ่งตรงออกไปข้างนอกอย่างไม่ลังเล ขณะเดียวกันก็ตะโกนอย่างเร่งร้อนว่า “รีบหนีเร็ว! รีบหนีเร็วเข้า!”
“อะไรนะ” ซือไป่หรงและอวี๋จิ้งชิวต่างก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง เหตุใดยังไม่ประมือกันก็จะหนีไปเสียแล้วเล่า นี่ทำให้พวกเขาแตกตื่นไม่น้อย
“คิดจะหนีรึ”
น้ำเสียงแหบต่ำทรงพลังนั้นสะท้อนก้องทั่วทั้งตำหนักใหญ่ ทันใดนั้นทั่วห้องพลันเงียบกริบ พลังอันไร้รูปร่างสายหนึ่งห่อหุ้มทั่วอาณาบริเวณในชั่วอึดใจ ราวกับว่ามีมือใหญ่ที่มองไม่เห็นบีบอัดเอาไว้อย่างกะทันหัน! ถังสงที่เดิมพุ่งทะยานหนีออกไปด้วยความเร็วสูงนั้นพลันถูกบีบอัดเสียจนทั้งร่างสั่นเทิ้ม ความเร็วก็ลดลงอย่างรวดเร็ว อากาศโดยรอบถูกบิดเบือน สิ่งต่างๆ โดยรอบก็ดูจะผิดรูปร่างไป
“ฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่ง!” ซือไป่หรงตกใจจนหน้าซีด ปัสสาวะแทบจะเล็ดออกมาอยู่รอมร่อ
อวี๋จิ้งชิวก็เผยสีหน้าตื่นตระหนกออกมาเช่นกัน
บุรุษผู้แข็งแกร่งราวสัตว์ประหลาดที่อยู่บนบัลลังก์งัดโลหะก้อนหนึ่งออกมาจากที่วางแขนแล้วโยนออกมา
ฟิ้ว
ก้อนโลหะแปรเป็นลำแสงสายหนึ่ง เร็วดุจฟ้าแลบ ถังสงที่กำลังพุ่งตรงหนีออกไปข้างนอกนั้นย่อมไม่เห็นก้อนโลหะที่อยู่ด้านหลัง ความเร็วที่ก้อนโลหะลอยออกไปนั้นเหนือกว่าความเร็วเสียง เขาย่อมสัมผัสไม่ได้อยู่แล้ว เสียงฉึกดังขึ้นคราหนึ่ง ก้อนโลหะก็ทะลุตรงเข้าไปในกระโหลกของถังสง เขาตาเบิกกว้างแล้ววิ่งต่อไปอีกสิบกว่าก้าวด้วยแรงส่งแล้วจึงล้มลงเสียงดังสนั่น
“ร่วงลงมา” หลูหวายหรูที่ยืนอยู่ข้างบัลลังก์กลับดึงกลไกข้างบัลลังก์เบาๆ
ปัง ปัง ปัง
ประตูเหล็กมหึมาด้านนอกของตำหนักใหญ่ตกลงมาอย่างแรงสามครั้งติดต่อกัน ทางออกถูกปิดตายอย่างสมบูรณ์
“เป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสมญา เหตุใดจึงมีสิ่งมีชีวิตชั้นสมญาได้เล่า” ซือไป่หรงหน้าซีดขาว รู้สึกสับสนอย่างสิ้นเชิง “เหตุใดแท่นบูชาย่อยของเทพปีศาจเทพมารในเมืองชิงเหอจึงมีสิ่งมีชีวิตชั้นสมญาได้เล่า”
“นี่…” อวี๋จิ้งชิวที่สงบเยือกเย็นมาตลอดก็ยากที่จะปกปิดความตื่นตระหนกได้เช่นกัน สิ่งมีชีวิตชั้นสมญาหรือนี่ การกีดกั้นพลังฟ้าดินสามารถทำให้นางไร้หนทางเปลี่ยนแปรพลังจากโลกภายนอกได้ จึงไร้หนทางร่ายเวทมนตร์ที่ยอดเยี่ยมออกมาได้ หากอาศัยเพียงพลังเวทย์ในร่างกายแล้วร่ายเวทมนตร์ออกมา อานุภาพก็จะลดลงกว่าพันเท่า ทำได้เพียงทำให้ชั้นสมญาคันยุบยิบเท่านั้น เวทมนตร์ต้องอาศัยพลังฟ้าดินจึงจะแข็งแกร่งพอ
“นักเวทย์สาวผู้งดงาม เจ้าอย่าดิ้นรนอีกต่อไปเลย คิดไม่ถึงว่าเมื่อแท่นบูชาย่อยนี้ถูกเปิดเผย ก่อนข้าจากไปยังจะได้พบกับนักเวทย์สาวชั้นจันทร์เงิน ทั้งยังอ่อนเยาว์ถึงเพียงนี้ จุ๊ๆๆ...ข้านี่ช่างโชคดีเสียจริง เจ้าก็ไปกับข้าเสียโดยดีเถอะ ข้าจะทะนุถนอมเจ้าอย่างดี” บุรุษผู้แข็งแกร่งดุจสัตว์ประหลาดพูด “เชื่อว่าผู้ทรงปัญญาเช่นเจ้า คงรู้ว่าควรตัดสินใจเลือกอย่างไร”
“สำหรับบุรุษสองคนนี้ ไม่มีประโยชน์เลยสักนิด ฆ่าทิ้งเสียเถอะ” บุรุษผู้แข็งแกร่งดุจสัตว์ประหลาดพูดพลางหยิบก้อนโลหะก้อนหนึ่งขึ้นมา
“ไว้ชีวิตด้วยเถิด”
ซือไป่หรงที่เหงื่อเย็นเต็มหน้าคุกเข่าลงเสียงดังพลั่ก เขาอ้อนวอนว่า “ใต้เท้าไว้ชีวิตด้วยเถิด โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด นักเวทย์อวี๋จิ้งชิวผู้นี้ปีนี้เพิ่งอายุได้ยี่สิบห้าปี เป็นอภิชาตบุตรจากฟ้าแห่งเมืองชิงเหอของเรา นางย่อมติดตามใต้เท้าไปแต่โดยดีแน่นอน ข้าคือซือไป่หรง เป็นคนของตระกูลซือ โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด”
เขาพูดพลางหันมามองอวี๋จิ้งชิว แค่นเสียงเฮอะอย่างร้อนใจว่า “จิ้งชิว เจ้าคงรู้ว่าควรจะเลือกอย่างไร ติดตามสิ่งมีชีวิตชั้นสมญาไปก็ไม่นับว่าเป็นการดูหมิ่นเจ้าหรอก อีกทั้งหากเจ้าขัดขืนก็จะต้องตาย พวกเราล้วนต้องตาย มีเพียงมีชีวิตต่อไปเท่านั้น ทั้งหมดจึงจะมีหวังได้ หากตายไปแล้วอะไรก็ล้วนไม่มีทั้งนั้น”
“เฮอะ”
อวี๋จิ้งชิวมองซือไป่หรงอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้ามองไปยังบุรุษผู้แข็งแกร่งดุจสัตว์ประหลาดที่อยู่บนบัลลังก์ไกลออกไป
“มารับภารกิจของหอภูผามังกร ใครก็รู้ว่าอาจมีอันตรายถึงชีวิต ข้าเตรียมตัวตายมาตั้งนานแล้ว ในเมื่อโชคไม่ดี ทำให้ข้าต้องมาพบกับสิ่งมีชีวิตชั้นสมญาอย่างเหนือความคาดหมาย ข้าก็ไม่โทษผู้ใดหรอก พูดได้เพียงว่าโชคไม่ดีเท่านั้น แต่หากคิดจะให้ข้าปรนนิบัติเจ้าแล้ว เจ้าก็ฝันไปเสียเถอะ” อวี๋จิ้งชิวพูด เมื่อเตรียมตัวตายมาแล้ว ย่อมใจเย็นได้เป็นธรรมดา
เพียงแต่อวี๋จิ้งชิวยอมไม่ได้จริงๆ
นางก้าวมาทีละก้าวจนถึงวันนี้ได้ นางต้องพิเคราะห์และค้นคว้าฟ้าดิน นางมั่นใจอย่างยิ่งว่าจะก้าวเข้าสู่ชั้นสมญาได้ในภายภาคหน้า ทว่าตอนนี้ทั้งหมดล้วนต้องจบลงเช่นนี้เอง
“เจ้าช่างทำให้ข้าผิดหวังเสียจริง แต่ศพนักเวทย์สาวก็เป็นของสะสมที่ดีมากแล้ว” บุรุษผู้แข็งแกร่งดุจสัตว์ประหลาดพูด
ซือไป่หรงคุกเข่าอยู่ตรงนั้น อวี๋จิ้งชิวมือกุมคทาเวทย์ ตาจ้องไปที่อีกฝ่าย เพียงแค่ในใจรู้สึกสิ้นหวังอยู่บ้าง
“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ เดิมทีเป็นเพียงคำสั่งชั้นเหล็กดำที่เข้าร่วมเพื่อสั่งสมประสบการณ์เท่านั้น แต่กลับได้พบสิ่งมีชีวิตชั้นสมญาเข้าเสียนี่”
ทันใดนั้นเสียงของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ดังขึ้นมา
…………………………………………………………………………………………………………….