Chapter0045

บทที่ 19 การปะทะครั้งใหญ่

อวี๋จิ้งชิวกำลังสิ้นหวัง เมื่อได้ยินคำพูดของตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ข้างๆก็ทำให้นางตื่นตระหนกขึ้นมา นางหันศีรษะมองไป

 ตงป๋อเสวี่ยอิงเมื่อก่อนนั้นเก็บงำกลิ่นอายมาตลอด เพราะเขาสัมผัสได้ถึงฟ้าดินและธรรมชาติมาหลายปี จึงรู้จักการเก็บงำ อยู่อย่างเรียบง่ายมาหลายปีแล้ว ไม่สะดุดตาแม้แต่น้อยอย่างแท้จริง แต่เมื่อจิตใจพร้อมรบเดือดพล่าน ไม่ว่าผู้ใดก็รู้สึกได้ว่าหนุ่มน้อยชุดดำตรงหน้าผู้นี้แตกต่างออกไปโดนสิ้นเชิง สายตาของเขาคมกริบดุจคมดาบ กลิ่นอายที่ไร้รูปร่างที่แผ่ไปทั่วร่างนั้นล้วนทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความคมกริบและน่าเกรงกลัว

 นี่ก็คือคมในฝักของผู้แกร่งกล้า ปกติซ่อนเร้นเอาไว้ พอปะทุออกมาก็ทำให้คนหวั่นใจได้

 “ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้กล้าพูดเช่นนี้ หรือเขาจะสามารถรับมือสิ่งมีชีวิตชั้นสมญาได้” อวี๋จิ้งชิวแทบไม่เชื่อสายตา “ได้ยินว่าเขาอายุเพียงยี่สิบสองเท่านั้น ยังอ่อนกว่าข้าถึงสามปี อ่อนเยาว์ถึงเพียงนี้ จะสามารถรับมือสิ่งมีชีวิตชั้นสมญาได้อย่างไรกัน อีกทั้งข้าก็ไม่ได้รู้สึกว่าเขามีพลังควบคุมฟ้าดินได้นี่นา”

อากาศโดยรอบถูกบิดเบือนจนเปลี่ยนรูปร่างไป

ความกดดันที่มองไม่เห็นยังคงปกคลุมอยู่ นี่คือการควบคุมฟ้าดินของบุรุษผู้แข็งแกร่งดุจสัตว์ประหลาดบนบัลลังก์ผู้นั้น สำหรับอวี๋จิ้งชิวแล้ว หากตงป๋อเสวี่ยอิงก็เป็นชั้นสมญาผู้หนึ่ง ก็ควรจะควบคุมฟ้าดินได้เช่นกัน พลังฟ้าดินของทั้งสองฝ่ายควรจะเริ่มปะทะกันแล้วจึงจะถูก

“ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้บ้าไปแล้ว” ซือไป่หรงที่กำลังกลัวความตายอย่างเต็มที่มองไปยังตงป๋อเสวี่ยอิง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ “กล้าท้าทายสิ่งมีชีวิตชั้นสมญา เขาก็จะเป็นชั้นสมญาได้หรือไร เขาก็แค่พยายามโอ้อวดสักครั้งก่อนตายก็เท่านั้น แต่ทำเช่นนี้ก็คงได้แต่ตายอย่างน่าอนาถขึ้นเท่านั้นเอง”

  ……

   

บุรุษผู้แข็งแกร่งดุจสัตว์ประหลาดที่นั่งอยู่บนบัลลังก์กลับกำลังลูบที่วางแขน มองสำรวจหนุ่มน้อยชุดดำด้านล่าง ปากใหญ่แยกเขี้ยวแสยะยิ้ม “น่าสนุก น่าสนุก เจ้าหนุ่มน้อย ในเมื่อเจ้าอยากรนหาที่ตายถึงเพียงนี้…”

“พูดเพ้อเจ้อให้น้อยหน่อย!” นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงเต็มไปด้วยไอร้อนระอุ “มาสิ ให้ข้าได้เห็นหน่อยว่าที่แท้แล้วเจ้าแข็งแกร่งเพียงใด หากเจ้าอ่อนแอกว่าข้า เช่นนั้นก็คงได้แค่ตายแล้ว!”

“ทระนงยิ่งกว่าข้าอีกรึ”

นัยน์ตาของบุรุษผู้แข็งแกร่งดุจสัตว์ประหลาดเยียบเย็นขึ้นมา

โครม…

พลังฟ้าดินที่ไร้รูปร่างพลันกดทับลงบนร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง เช่นเดียวกับที่กดทับถังสงก่อนหน้านี้

“ก็แค่การบีบอัดพลังฟ้าดินน้อยนิดเท่านี้น่ะหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มเย็น การบีบอัดพลังฟ้าดินนั้นมีจำกัด สามารถทำให้ชั้นอัศวินดาวตกทนรับแทบไม่ไหว ส่วนอัศวินจันทร์เงินก็จะอ่อนพลังลงอย่างมาก ทว่าสำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงที่พลังกายไปถึงจุดยอดของชั้นสมญาแล้ว...การคุกคามของพลังฟ้าดินก็ลดลงอย่างมากแล้ว ก็แค่มีแรงกดทับราวพันชั่งอยู่ตลอดเวลาเท่านั้นเอง”

คนหนึ่งยืนอยู่ในตำหนักใหญ่ อีกคนนั่งอยู่บนบัลลังก์ นัยน์ตาของทั้งสองปะทะกัน

“ให้ข้าได้เห็นหน่อยสิว่า ที่แท้แล้วเจ้าจะเอาอะไรมาอดทนได้” บุรุษผู้แข็งแกร่งดุจสัตว์ประหลาดพลิกมือทีหนึ่ง ในมือก็ปรากฏดาวกระจายทรงโค้งสีดำอันหนึ่ง นี่จึงจะเป็นอาวุธลับที่เขาใช้เป็นประจำขณะต่อสู้ ส่วนก่อนหน้านี้ที่ปาก้อนโลหะพุ่งไปทะลุกะโหลกอัศวินจันทร์เงินนั้น ก็เป็นเพราะระยะห่างระหว่างกันมากเกินไป

“ฟิ้ว”

บุรุษผู้แข็งแกร่งดุจสัตว์ประหลาดพลันสะบัดแขนออกไป ร่อนดาวกระจายทรงโค้งออกไปจากมืออย่างรวดเร็ว

ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว

มือของเขาปรากฏดาวกระจายทรงโค้งขึ้นมาแล้วร่อนออกไปอย่างต่อเนื่อง

   ดาวกระจายทรงโค้งรวดเร็วยิ่ง เพียงพริบตาก็ไปถึงความเร็วเสียง อีกทั้งยังเคลื่อนไปในอากาศเป็นแนวโค้ง เมื่อลอยไปในอากาศที่ถูกบิดเบือนจึงยิ่งดูเลือนรางยากจะเห็นได้ชัด

“ดาวกระจายหรือ เจ้าเตรียมรับกระบวนท่าของข้าสักหลายกระบวนเถอะ” นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงเต็มไปด้วยสัญญาณพร้อมรบ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาประมือกับชั้นสมญา เมื่อพลิกมือขวา หอกสั้นเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้น เขาซัดหอกออกไปเต็มแรงในพริบตา

บึ้ม!

หอกสั้นช่างหนักหน่วง แหวกอากาศไปพร้อมเสียงแหลมอันน่าหวาดหวั่น เมื่อบุรุษผู้แข็งแกร่งดุจสัตว์ประหลาดได้ยินเสียงนี้ก็หน้าเปลี่ยนสี หอกสั้นรวดเร็วเกินไปแล้ว เขาย่อมหยิบอาวุธออกมาสกัดไม่ทัน ดังนั้นจึงรีบทะยานขึ้นหนีหอกนั้น

 “ปัง!!!” หอกสั้นกระทบกับบัลลังก์เสียงดังสนั่น ตัวบัลลังก์ที่หล่อขึ้นจากโลหะนั้นปริแตกออกมา ปลายหอกสั้นแทงเข้าไปปักลึกอยู่ในผนังด้านหลังบัลลังก์

ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังหลบหลีกดาวกระจายทรงโค้งสีดำอันแปลกประหลาดเหล่านั้น เขากุมหอกเทพหิมะเหินแล้วสกัดออกไปเป็นครั้งคราว ในฐานะปรมาจารย์วิถีหอกยาวผู้หนึ่ง แค่สกัดดาวกระจายนั้นง่ายดายยิ่ง

“ตึง!”  “ตึง!”  “ตึง!”

  ในมือขวาของตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏหอกสั้นอย่างต่อเนื่อง ในที่เก็บของของเขามีหอกสั้นตั้งกองหนึ่ง หอกสั้นซัดออกไปเต็มแรงครั้งแล้วครั้งเล่า แหวกอากาศออก สำหรับผู้แกร่งกล้าชั้นยอดของชั้นสมญาแล้ว การกดดันพลังฟ้าดินแทบไม่มีผลอะไรกับการซัดหอกสั้น

หอกสั้นเล่มหนึ่งเฉียดผ่านข้างกายบุรุษผู้แข็งแกร่งดุจสัตว์ประหลาดไป ยิงเข้าไปในกำแพงเสียงดังสนั่น

ดาวกระจายทรงโค้งสีดำอันแปลกประหลาดโจมตีมาทางตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างรวดเร็วยิ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงหลบหลีกโดยพลัน ดาวกระจายฝังลึกเข้าไปในกำแพง  

“นี่...นี่...” ซือไป่หรงตะลึงงัน

“นี่คือชั้นสมญาหรอกหรือ” อวี๋จิ้งชิวก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันเช่นกัน

ในยามนี้สิ่งมีชีวิตอันแกร่งกล้าทั้งสองเพียงปล่อยอาวุธลับใส่กันเท่านั้นก็ทำให้พวกเขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันและความหวาดกลัวแล้ว เมื่อบุรุษผู้แข็งแกร่งดุจสัตว์ประหลาดผู้นั้นเคลื่อนไหว เงาร่างก็เลือนราง ยากที่พวกเขาจะเห็นได้ชัด

ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงแม้จะเคลื่อนไหวน้อยมาก แต่ในอาณาบริเวณไม่กี่เมตรนั้นร่างของเขาก็ดูเลือนรางไม่หยุดนิ่งเช่นกัน

แค่เพียงวิถีร่างกายที่ใช้หลบหลีก ก็ทำให้พวกเขามองไม่ชัดเสียแล้ว

สำหรับอาวุธลับนั้นเล่า

ไม่ว่าจะเป็นหอกสั้นอันน่ากลัว หรือดาวกระจายทรงโค้งอันรวดเร็วและรุนแรง พวกเขาเกรงว่าคงหลบไม่พ้นสักอันเดียว

“ท่านเทพมารขอรับ มัน มันแกร่งกล้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ” หลูหวายหรูตระหนกเสียจนสีหน้าซีดขาว ไปแอบหลบอยู่หลังรูปปั้นแห่งหนึ่งในตำหนักใหญ่ก่อนนานแล้ว เขากลัวจะถูกลูกหลงนี่นา! สิ่งมีชีวิตชั้นสมญาสองคนประมือกัน… ปลดปล่อยสายลมกดดันสายหนึ่งออกมา นั่นก็เพียงพอที่จะบีบอัดนักเวทย์ชั้นดาวตกเช่นเขานี้ให้ตายได้แล้ว

   

  ……

หลังบุรุษผู้แข็งแกร่งดุจสัตว์ประหลาดหลบหลีกติดต่อกันแล้ว เพียงสองมือสะบัดคราหนึ่ง ขวานรบสองแฉกสองเล่มก็ปรากฏขึ้น

  ขวานรบสองแฉกเป็นอาวุธที่เหี้ยมโหดยิ่ง ใบขวานนั้นก็ใหญ่โตราวกับโล่น้อยๆ อันหนึ่งแล้ว สองมือของบุรุษสัตว์ประหลาดนี้ล้วนกุมขวานรบไว้ข้างละเล่ม เพียงสกัดกั้นอย่างสบายๆ ครั้งเดียว เมื่อมีเสียงสกัดดังสนั่นคราหนึ่ง ก็กันเอาหอกสั้นเล่มหนึ่งออกไปได้ เสียงนั้นดังก้องไปทั่วตำหนักใหญ่

“นึกไม่ถึงว่าข้าเพิ่งจะรอดพ้นจากความตายกลับมายังโลกของคนธรรมดาได้ก็จะได้พบกับชนรุ่นหลังที่อ่อนวัยเพียงนี้” บุรุษผู้แข็งแกร่งดุจสัตว์ประหลาดมีสีหน้าเหี้ยมโหด “ประเสริฐยิ่ง ยังเยาว์วัยเพียงนี้ก็มีพลังขั้นสมญาแล้ว นับว่ามีศักยภาพโดยแท้ ข้าชมชอบการสังหารคนหนุ่มสาวที่มีศักยภาพเช่นพวกเจ้าเป็นที่สุดแล้ว! ชนรุ่นหลังเอ๋ย ให้เจ้าได้เห็นพลังของข้าสักหน่อยเถอะ

“ดูหอกด้วย!” ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่พูดเปล่า เขารู้ว่าหอกสั้นข่มขวัญอีกฝ่ายไม่ได้ ร่างกายพลันโถมออกไปในทันใด

สวบ

ร่างกายนั้นดั่งลูกธนูพุ่งออกจากแล่ง พุ่งออกไปกว่าร้อยเมตรในพริบตาเดียว เขาชูหอกยาวทั้งสองมือขึ้นสูงแล้วฟันลงด้านล่างอย่างดุเดือดในทันใด ปัง...พลังส่งผ่านทั่วทั้งหอกยาวไปจนถึงปลายหอก พลังสายนี้เมื่อแทงออกไปก็มีเวลาเพียงพอจะดูดซับพลังเอาไว้ก่อนปล่อยออกไป ทำให้อานุภาพรุนแรงไร้ที่ติ

 “ดูซิว่าเจ้าจะมีพลังสักแค่ไหนกัน” บุรุษผู้แข็งแกร่งดุจสัตว์ประหลาดยิ้มเหี้ยมเกรียม ขวานสองเล่มในมือไขว้กันยกขึ้นสกัดด้านบน

  “ปัง!”

 หอกยาวฟันลงบนขวานทั้งสอง

  บุรุษผู้แข็งแกร่งดุจสัตว์ประหลาดหน้าเปลี่ยนสีในทันใด  ทางหนึ่งก็ดูดซับพลังเอาไว้ก่อนปล่อยออกไป ทางหนึ่งก็ต้านทานอย่างแข็งขันมั่นอกมั่นใจอยู่กับที่ เขาขาดทุนในทันใด เขาพลันรักษาหน้าไว้ไม่ได้อีกต่อไป ทั้งร่างถอยกรูดต่อเนื่องกันตามกระบวนท่าเผื่อถ่ายแรง ตึง ตึง ตึง ทุกครั้งที่ถอยหลังก้าวหนึ่งพื้นของตำหนักใหญ่ก็ปรากฏรอยเท้าสลักลึก พื้นโดยรอบปริแตกออก หลังถอยติดต่อกันสิบกว่าก้าวจึงสามารถถ่ายพลังออกไปได้หมด

“ตายซะ”

หลังฟันลงไปอย่างดุเดือดแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็พลันพุ่งตัวไปด้านหน้า หอกยาวเปลี่ยนจากฟันอย่างดุเดือดกลายเป็นแทงออกไปโดยตรงในทันใด

หอกยาวแทงตรงไปยังใบหน้าของบุรุษผู้แข็งแกร่งดุจสัตว์ประหลาดรวดเร็วดั่งฟ้าแลบ

“สลายตัว” บุรุษผู้แข็งแกร่งดุจสัตว์ประหลาดเปลี่ยนใจ พลังฟ้าดินที่กดดันตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่แต่เดิมมาตลอดนั้นพลันสลายไป การที่แต่เดิมร่างกายต้องรับความกดดันแล้วจู่ๆ ก็มลายหายไปนั้น ร่างกายคนทั่วไปยากที่จะรับความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ได้ แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเพียงแค่กล้ามเนื้อ เอ็นและกระดูกในกลายสะท้อนกลับรับกับความเปลี่ยนแปลงเท่านั้น ไม่ได้รับผลกระทบใดเลย

ปรมาจารย์วิถีหอกยาวผู้พลังครบสมบูรณ์เป็นหนึ่ง ใช่ว่าจะถูกกระทบได้ง่ายๆ เช่นนี้

“สมควรตาย พลังครบสมบูรณ์เป็นหนึ่งหรือ ยังเยาว์วัยเพียงนี้วิถีหอกยาวก็น่ากลัวถึงเพียงนี้แล้ว” บุรุษผู้แข็งแกร่งดุจสัตว์ประหลาดพบว่ากระบวนหอกของอีกฝ่ายไม่ได้รับผลกระทบใดเลยแม้แต่น้อย ก็เข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายนั้นต้องเป็นปรมาจารย์วิถีหอกยาวแน่ ต้องรู้ไว้ว่าต่อให้เป็นในบรรดาผู้แกร่งกล้าชั้นสมญา ผู้ที่เคล็ดวิชาพลังการต่อสู้บรรลุขั้นปรมาจารย์ได้ก็มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น เพราะบางคนตีเหล็กอยู่ดีๆ ก็ถึงขั้นฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่งแล้ว บางคนวาดภาพอยู่ดีๆ ก็ถึงขั้นฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่งแล้ว ฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่งแสดงถึงเขตแดนแห่งจิตวิญญาณเท่านั้น

มิได้แสดงถึงเคล็ดวิชาพลังการต่อสู้เลย!

 กว่าจะเป็นปรมาจารย์ผู้หนึ่งได้ ต้องใช้เวลานานและการฝึกฝนอันยากลำบาก ทั้งยังต้องมีความเข้าใจด้วย

“ขวานโลหิตกลิ้งกลับ” บุรุษผู้แข็งแกร่งดุจสัตว์ประหลาดก็จัดให้อีกฝ่ายเป็นศัตรูตัวฉกาจเช่นกัน เพียงพริบตาเดียวทั้งร่างก็เลือนรางแล้วหลบหลีกออกมา

“ฟิ้ว”

 หอกยาวแทงผ่านความว่างเปล่าข้างกายเขาไป แต่พลังจากการแทงที่เกิดจากปลายหอกนั้นแม้จะแทงผ่านอากาศแต่ก็กระทบเข้ากับผนังตำหนักใหญ่ที่อยู่ไกลออกไปเสียงดังสนั่นจนเกิดเป็นหลุมลึกบนกำแพง

“ตายซะ” บุรุษผู้แข็งแกร่งดุจสัตว์ประหลาดที่หลบไปนั้นพลันกวัดแกว่งขวานคู่เข้ามาจากทางด้านข้าง ขณะเดียวกันก็ฟันเข้ามาทางตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างดุเดือด กระบวนท่า ‘ขวานโลหิตกลิ้งกลับ’ นี้เมื่อแสดงออกมาแล้ว สองขวานก็โจมตีต่อเนื่องกันอย่างไม่ขาดสาย หากในระหว่างการโจมตีอย่างบ้าคลังรุนแรงนี้ ศัตรูเกิดป้องกันผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อยแล้วก็เป็นอันจบกัน

“เปิดทางให้ข้าเดี๋ยวนี้” หลังตงป๋อเสวี่ยอิงแทงถูกความว่างเปล่าเข้าเต็มหอกแล้วก็พลิกกาย บิดช่วงเอวส่งถ่ายพลัง

หอกยาววาดออกไปตามขวางอย่างรุนแรง

พลังของหอกเดียวนั้น เพียงพอต่อการกวาดล้างนับพันกองทัพ

จะเป็นกระบวนขวานอะไรก็ช่าง แค่วาดหอกออกไปก็สิ้นเรื่อง

“ปัง!”

 ด้ามหอกยาววาดไปกระทบกับคมขวานเข้าอย่างจัง เสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นอันน่าเกรงกลัวตามมาด้วยความกดดันอันไร้รูปร่างพุ่งโจมตีออกไปทั่วทุกทิศทาง ทำเอาผิวกายของซือไป่หรงแผ่พลังการต่อสู้คุ้มกายออกมาไม่หยุด ผิวกายของอวี๋จิ้งชิวก็มีเกราะน้ำแข็งไหลเวียนเอื่อยๆ อยู่เช่นกัน พลังโจมตีถูกถอนออกไปจนสิ้น

รอบตำหนักใหญ่ราวกับถูกพายุคลั่งโหมพัดผ่าน ชั้นบนของหินแตกกระจายเป็นผุยผงแล้วร่วงลงมาจนพื้นสะเทือน ทั้งหมดมีแต่ความยุ่งเหยิง

บุรุษผู้แข็งแกร่งดุจสัตว์ประหลาดถูกแรงสะเทือนจนถอยกรูดติดๆ กันหลายก้าว จากนั้นร่างก็กระแทกเข้ากับผนังด้านหลัง

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ถูกกระเทือนจนเซไปด้านข้างก้าวหนึ่ง

สายตาของทั้งสองปะทะกัน รังสีเข่นฆ่าแผ่ซ่าน

“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ทันใดนั้นบุรุษผู้แข็งแกร่งดุจสัตว์ประหลาดก็หัวเราะขึ้นมา เสียงหัวเราะนั้นต่ำลึกแหบห้าว ราวกับคลื่นยักษ์ถาโถม อวี๋จิ้งชิว ซือไป่หรงและหลูหวายหรูที่อยู่ไกลออกไปนั้นล้วนเอานิ้วอุดหูอย่างช่วยไม่ได้

…………………………………………………………………………………………………………