Chapter0047

ตอนที่ 21 แยกเป็นแยกตาย

“ฮ่าฮ่า ตายให้ข้าเสียเถอะ!” ใต้เท้าเทวทูตที่เป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างสิ้นเชิงไม่ให้โอกาสตงป๋อเสวี่ยอิงได้สูดลมหายใจเลยแม้แต่น้อย เขาพุ่งทะยานมาเช่นกัน ขวานคู่ในมือสับขวางออกไปเต็มแรง

ตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่กลางอากาศพลิกกายอย่างฉับพลัน หอกยาวพุ่งออกไปในพริบตาดุจอสรพิษออกจากถ้ำ!

ฟิ้ว!

สะบัดแทงมือเดียว! หอกยาวรวดเร็ว อีกทั้งใช้ความยาวได้เป็นประโยชน์ถึงขีดสุด แทบจะแทงตรงไปยังใบหน้าของใต้เท้าเทวทูตในพริบตาเดียว

“รุนแรงนัก รวดเร็วนัก” เมื่อใต้เท้าเทวทูตที่ไล่สังหารมานั้นพบเข้ากับหอกที่ดิ่งมาตรงหน้าเพื่อคร่าชีวิต จิตใจก็สั่นไหวคราหนึ่ง “วิถีหอกยาวของเขารวดเร็วขึ้นได้อย่างไรกัน ก่อนหน้านี้มิได้เร็วถึงเพียงนี้นี่!”

  เขามิสนใจสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น ขวานโลหิตคู่ในมือพลันถูกรวบเข้าหากันด้วยสัญชาตญาณ

เส้นทางโจมตีของหอกยาวถูกปิดตายโดยสมบูรณ์ ราวกับประตูใหญ่สองบานปิดลง

“ปัง”

  ปลายหอกและใบขวานกระทบกัน แม้การสะบัดแทงมือเดียวในพริบตาเช่นนี้จะเน้นเรื่องความรวดเร็วและความกะทันหัน แต่ในด้านพละกำลังนั้นยังห่างชั้นกับกระบวนท่าอย่างการฟาด วาด และฟันอยู่มาก ทว่าก็ทำให้ใต้เท้าเทวทูตรู้สึกได้ว่าขวานโลหิตนั้นสั่นไหวดังเดิม

“ผู้ที่ตายควรเป็นเจ้า” เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงร่อนลงถึงพื้นก็พุ่งไปทางใต้เท้าเทวทูตอีกครั้งทันที เกล็ดหิมะปลิวว่อน หอกยาวแปรเป็นเงารางเริ่มเข้าโจมตี

“เคร้งๆๆ…”

เงาหอกนับร้อยสายแผ่คลุมในพริบตา ทั้งยังรวดเร็วกว่าเมื่อครู่เสียอีก

ใต้เท้าเทวทูตเริ่มมึนงงบ้างแล้ว เขาสกัดกั้นป้องกันด้วยความตื่นตระหนกโดยอาศัยสัญชาตญาณล้วนๆ เขาถึงขั้นไม่กล้าตาต่อตาฟันต่อฟันอีกต่อไป เพราะความเร็ววิถีหอกยาวของตงป๋อเสวี่ยอิงในยามนี้...ทำให้ใต้เท้าเทวทูตรู้สึกว่า หากรุกโจมตีแล้ว เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะต้านรับไว้ไม่อยู่ “ความเร็ววิถีหอกยาวพุ่งสูงขึ้นมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร หรือว่าก่อนหน้านี้เขาซ่อนเร้นความสามารถเอาไว้ สมควรตาย คนรุ่นหลังที่อ่อนเยาว์เช่นนี้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน!”

“ปัง!”

    หลังแทงออกไปอย่างดุเดือดหลายร้อยครั้ง หอกยาวก็พลิกหมุนฟาดไปทางใต้เท้าเทวทูตอย่างดุเดือดตามกระบวนท่า

ใต้เท้าเทวทูตใช้ขวานโลหิตคู่สกัดรับทางด้านบนพร้อมกัน เสียงปังพลันดังขึ้น ใต้เท้าเทวทูตสัมผัสได้ว่าพลังอันแปรปรวนสายหนึ่งส่งผ่านขวานโลหิตมา จนต้องถอยโซซัดโซเซไปอย่างควบคุมมิได้

  

“ปัง ปัง ปัง”

ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ฟาดอย่างดุเดือดก็แทง หรือไม่ก็วาด

หอกยาวราวกับมังกรเลื้อยที่เชื่อมต่อกับเขาตัวหนึ่ง โจมตีอย่างบ้าคลั่งและรวดเร็วยิ่งครั้งแล้วครั้งเล่า

ใต้เท้าเทวทูตผงะถอยหลังไม่หยุด กระทั่งการเคลื่อนไหวก็เปลี่ยนแปลงไปเสียแล้ว หน้าผากของเขาผุดเหงื่อเย็นเยียบออกมา

“ฟิ้ว!”

เสียงอากาศถูกแหวกออกดังก้องขึ้นมาข้างหู ปลายหอกสายหนึ่งพลันแทงเข้ามาจากร่องระหว่างขวานโลหิตสองเล่มที่ไขว้กัน

 เสียงฉึกดังขึ้นคราหนึ่ง!

  ดวงตาของใต้เท้าเทวทูตเบิกกว้างเสียจนกลอกกลิ้งไปมา ขวานโลหิตในมือร่วงลงกระทบพื้นเสียงดังแกร๊ง เสียงนั้นสะท้อนก้องไปทั่วทั้งตำหนักใหญ่

  ……

“ฟิ้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพลันถอนหอกยาวออกมา ลำคอของใต้เท้าเทวทูตมีแอ่งโลหิตขนาดใหญ่ โลหิตสดๆ ทะลักออกมาไม่ขาดสาย เขาเอามือกุมลำคอพลางเบิกตาโพลง มองไปยังหนุ่มน้อยชุดดำที่แผ่กลิ่นอายอันน่ากลัวตรงหน้าอย่างไม่ยินยอม เขาค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นมาทีละก้าวจากการเป็นผู้คุ้มกันของตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่ง มีชื่อเสียงเรื่องความเหี้ยมโหด ทั้งยังได้รับสมญานามยกย่องว่า ‘อัศวินขวานโลหิต’

เพื่อพละกำลัง เขาไม่เสียดายอะไรทั้งสิ้น

เพื่อวิถีการต่อสู้ชั้นยอดวิชาหนึ่ง เขากวาดล้างกองทัพที่นำโดยคุณชายน้อยแห่งตระกูลใหญ่ หลังจากเค้นถามด้วยความยากลำบากจึงได้รับวิถีการต่อสู้มาโดยละเอียด

เพื่ออาวุธเทพขวานโลหิต เขาได้กวาดล้างตระกูลที่เป็นผู้บริสุทธิ์ตระกูลหนึ่ง

หลังจากเขาถูกส่งตัวไปจองจำที่โลกเพลิงโลกันตร์ ก็ถูกคนของเทพมารค้นจนพบ อีกฝ่ายรับปากว่าจะช่วยเขาให้หนีออกมา ทั้งยังถ่ายทอดเคล็ดต้องห้ามวิชาหนึ่งให้ด้วย ในที่สุดเขาก็กัดฟันเลือกที่จะทิ้งทั้งชนเผ่าเซี่ยไว้ข้างหลัง หันไปสวามิภักดิ์ต่อเทพมาร กลายเป็นเทวทูตคนหนึ่งของเทพมาร

หลังรอดตายกลับมายังโลกของมนุษย์ธรรมดาได้อย่างหวุดหวิด อาการบาดเจ็บก็ฟื้นฟูกลับมาได้เพียงครึ่งหนึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะมาสิ้นชีพด้วยน้ำมือของปรมาจารย์วิถีหอกยาววัยเยาว์ที่ไม่มีชื่อเสียงเรียงนามใดๆผู้หนึ่ง

“เจ้า เจ้า…” ใต้เท้าเทวทูตจ้องตงป๋อเสวี่ยอิงเขม็ง ทันใดนั้นเขาก็พบว่าไอสีแดงโลหิตอ่อนจางนั้นกำลังล้อมรอบร่างของหนุ่มน้อยชุดดำอยู่

“โบ...โบราณกาล…” เขาเบิกตาโพลง แต่ตรงหน้ากลับมีเพียงความดำมืดระลอกแล้วระลอกเล่า เมื่อเอ่ยปากพูดก็ล้วนมีเลือดสดๆ ทะลักออกมา ดวงตาของใต้เท้าเทวทูตเบิกกว้างยิ่งนัก จ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิง “จง จำ เอา ไว้ ว่า ข้าชื่อ...โลหิต...”

ต่อมาร่างเขาก็กระตุกคราหนึ่ง ก่อนจะอ่อนยวบคุกเข่าลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง จากนั้นทั้งร่างก็ล้มลงกับพื้นเสียงดังพลั่ก เลือดสดๆ ค่อยๆ ไหลรินไปทั่วพื้นโดยรอบ

ผู้ทระนงในยุคหนึ่ง ซึ่งสำหรับคนธรรมดาแล้วมองว่าเป็นบุคคลที่เหมือนกับมารร้าย   

อัศวินขวานโลหิต ‘โฉวฝาน’ ก็จบชีวิตลงเช่นนี้เอง

ผู้อื่นที่อยู่ในที่นั้นถึงขั้นไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของเขา รวมทั้ง ‘หลูหวายหรู’ ผู้พิทักษ์กฏของแท่นบูชาย่อยท่านนั้นก็ไม่ทราบความเป็นมาที่แท้จริงของเทวทูตผู้นี้เช่นกัน! เหตุผลหลักก็คือหลังจากอัศวินขวานโลหิตผู้นี้หลบหนีออกมาจากโลกเพลิงโลกันตร์แล้ว ชนเผ่าเซี่ยก็ไล่สังหารเขา ดังนั้นเขาจึงมิกล้าเปิดเผยข่าวคราวของตนเองมาโดยตลอด

คนผู้เดียวที่จำโฉวฝานได้ก็เห็นจะมีเพียงถังสงที่มีชีวิตอยู่มาหนึ่งร้อยหกสิบกว่าปีเท่านั้น น่าเสียดายที่เขาเสียชีวิตไปแล้ว

   

ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิง อวี๋จิ้งชิวและซือไป่หรงล้วนมองสถานะของเขาไม่ออก อย่างไรเสียเขาก็เป็นบุคคลที่เก่งกาจเมื่อในอดีตนานมาแล้ว

“เจ้ามีนามว่าโลหิตรึ” ตงป๋อเสวี่ยอิงได้ยินไม่ชัด เขาส่ายศีรษะเล็กน้อยพลางมองไปยังร่างไร้วิญญาณของใต้เท้าเทวทูตตรงหน้า “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร เจ้าก็เป็นชั้นสมญาคนแรกที่ข้าประมือด้วย ข้าย่อมจำเจ้าได้แน่”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางเปลื้องแหวนสองวงของ    ใต้เท้าเทวทูตออกมาอย่างรวดเร็ว แหวนทั้งสองนี้ล้วนแล้วแต่เป็นวัตถุเวทมนตร์อารักษ์ เขาใช้วิถีการต่อสู้หลอมออกมาอย่างง่ายดาย

“มีพื้นที่ใหญ่โตยิ่งนัก”

   ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงอยู่บ้าง

ในแหวนสองวงล้วนใหญ่โตนัก วงหนึ่งกว้างยาวสูงสามเมตร อีกวงหนึ่งก็ไม่ค่อยแตกต่างกันสักเท่าใดนัก นับว่าใหญ่โตอย่างยิ่งในบรรดาวัตถุเวทมนตร์อารักษ์แล้ว ก่อนหน้านี้ หอกเทพหิมะเหินของตงป๋อเสวี่ยอิงต้องถอดแยกชิ้นส่วนออกแล้วสะพายหลังเอาไว้เนื่องจากไม่มีวัตถุเวทมนตร์อารักษ์ที่ใหญ่พอ แต่การถอดออกมาเช่นนี้แล้วต่อใหม่ต้องใช้เวลา หากเป็นช่วงเวลาคับขันย่อมต้องส่งผลกระทบแน่

“ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องถอดแยกชิ้นส่วนแล้ว สามารถใช้ได้ตลอดเวลา อีกทั้งข้ายังสามารถพกหอกสั้นได้มากขึ้นอีกหน่อยด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มออกมา นี่เป็นเรื่องที่ทำให้เขาเบิกบานใจ จากนั้นเขาจึงเริ่มสำรวจวัตถุภายในแหวนทั้งสอง

ตั๋วเงิน ดาวกระจาย โล่ ขวาน ขวดโหล อาหาร สุรา…

วัตถุต่างๆ มีมากมายนัก อย่างไรเสียก็กว้างยาวสูงถึงสามเมตร นับเป็นโกดังเคลื่อนที่ขนาดกะทัดรัดจริงๆ

  ……

ทั่วทั้งตำหนักใหญ่เงียบกริบ

อวี๋จิ้งชิวและซือไป่หรงที่หลบอยู่หลังเสาตรงมุมห้องล้วนกลั้นหายใจมองฉากที่อยู่ไกลออกไป ท่ามกลางภาพเกล็ดหิมะนับไม่ถ้วนลอยล่อง ใต้เท้าเทวทูตผู้มีไอสีดำแผ่ซ่านอันน่ากลัวนั้นถูกหอกยาวแทงทะลุลำคอ! ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังยืนถอนหอกออกอยู่ที่อีกด้านหนึ่ง

“ตงป๋อเสวี่ยอิงชนะแล้วหรือ” ซือไป่หรงกลั้นหายใจ ที่จริงแล้วหลังจากใต้เท้าเทวทูตแสดงเคล็ดต้องห้าม และสายเลือดพลังของตงป๋อเสวี่ยอิงปะทุออกมาแล้ว เขาก็ดูการต่อสู้ของทั้งสองไม่รู้เรื่องแล้ว

เพราะมันรวดเร็วเกินไป

หากไม่ถึงชั้นสมญาแล้ว เมื่ออยู่ต่อหน้าชั้นสมญาก็เป็นได้เพียงมดปลวกเท่านั้น

ชั้นสมญา...จึงจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่เริ่มเดินออกนอกเส้นทางของตนเองโดยแท้จริง ถึงขั้นที่ว่าผู้ที่เป็นชั้นยอดบางคนนั้นไม่แพ้ชีวิตเหนือธรรมดาเลยทีเดียว!

     

“แข็งแกร่งนัก ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้แข็งแกร่งเกินไปแล้ว เขาอายุเพียงยี่สิบสองปีเท่านั้นเองหรือ” อวี๋จิ้งชิวก็สั่นสะท้าน เมื่อนางอยู่ที่สำนักลมหวนก็ได้เห็นผู้เก่งกล้าสามารถวัยเยาว์มามากมาย นางเองก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นอภิชาตบุตรแห่งสวรรค์ แต่นางพบว่า...ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้เป็นผู้มีพรสวรรค์ที่เก่งกาจที่สุดที่นางเคยพบมา ผู้แกร่งกล้าชั้นสมญาวัยยี่สิบสองปี

อีกทั้งเมื่อครู่นี้เอง เขายังสังหารสิ่งมีชีวิตชั้นสมญาผู้กล้าแกร่งอีกคนต่อหน้า

อวี๋จิ้งชิวก็เกิดความเลื่อมใสนับถือขึ้นมา ที่จริงแล้วในใจของนางก็รู้สึกขอบคุณ เพราะนับได้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงได้ช่วยเหลือนาง

  ……

    “ใต้เท้าเทวทูต ใต้เท้าเทวทูตผู้ยิ่งใหญ่แพ้แล้วหรือ สิ้นชีพแล้วหรือ” หลูหวายหรูที่หลบอยู่ไกลออกไปมึนงง เขามองไปยังร่างไร้วิญญาณของใต้เท้าเทวทูตที่ล้มกองอยู่กับพื้นไกลออกไป เลือดสดๆ รินไหลออกมา ในใจเย็นเยียบอย่างช่วยไม่ได้

ประตูรั้วสามบานของตำหนักใหญ่ร่วงลงมาแล้ว ก่อนหน้านี้ก็เพื่อไม่ให้ผู้บุกรุกเหล่านี้หนีออกไปได้ ตำหนักใหญ่ก็ถูกปิดตายอย่างสมบูรณ์แล้ว!

หากอยากจะเปิดประตูอีกก็สายเกินไปเสียแล้ว ผู้แกร่งกล้าที่หอภูผามังกรส่งมาเหล่านี้...โดยเฉพาะตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั้น เกรงว่าคงจะสามารถสังหารเขาได้ในพริบตาเดียว

“หมดกัน”

หลูหวายหรูไม่คิดจะร้องขอชีวิต

เพราะเป็นเจ้าแท่นบูชาย่อยแห่งเมืองชิงเหอของเทพมารองค์หนึ่ง ด้วยฐานะของเขาแล้ว จึงถูกลิขิตไว้ว่าไม่มีใครกล้าปล่อยเขาไปหรอก!

“สมควรตาย สมควรตาย หอภูผามังกรที่สมควรตาย” หลูหวายหรูกวาดสายตาชั่วร้ายมองคนด้านนอกทั้งสาม ในมือปรากฏจานกลมรูปร่างประหลาดใบหนึ่ง เขาหัวเราะเสียงแหลมบาดหูคนอย่างบ้าคลั่ง เสียงหัวเราะดังก้องไปทั่วตำหนักใหญ่ “ฮ่าฮ่าฮ่า…กลับบ้านเก่าไปพร้อมกันเถอะ! เทพมารผู้ยิ่งใหญ่ ข้ามาแล้ว!”

ขณะเดียวกันเขาก็หมุนจานกลมในมือไปด้วย

……………………………………………………………………………………………….