บทที่ 27 เยี่ยมเยียน

ตอนที่ 27 เยี่ยมเยียน

หวังหลินมองไปยังแผ่นหลังของจางฮู่ หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก หวังหลินถอนหายใจพลางถือกระดาษสีเหลืองในมือ จางฮู่เป็นเพื่อนคนแรกของเขาหลังจากเข้ามาในสำนักเหิงยั่วนี้ แต่เหตุการณ์กลับตาลปัตร

“นี่คือยันต์วิบัติ” หวังหลินมองไปยังกระดาษสีเหลืองในมือ ยากจะแยกได้ว่ากระดาษสีเหลืองใบนี้มีสีคล้ายกับที่ใช้ส่งพวกสายนอกกลับบ้าน แต่มันมีพลังปราณมากกว่าปกติ สิ่งที่เพิ่มมาเป็นสัมผัสอันตรายจากยันต์ใบนี้ หวังหลินตกใจเพราะไม่รู้ว่ามันก็มีแบบนี้ด้วย แต่ที่รู้คือมันเป็นสมบัติชิ้นหนึ่งเท่านั้น

หวังหลินลังเลเล็กน้อยจากนั้นก็เก็บมันลงไปในกระเป๋า มองไปที่ศพบนพื้นแล้วถอนหายใจอีกครา ถ้าร่างศพไม่หายไป ด้วยความเร็วของจางฮู่เขาคงไม่อาจหนีออกจากสำนักได้

โชคดีที่ถุงเก็บของมีช่องว่างเพียงพอที่จะเก็บศพในนั้น หวังหลินทำความสะอาดห้องเรียบร้อย ลบคราบเลือดก่อนจะออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว หาหุบเหวลึกในภูเขา โยนศพลงไป หลังจากตรวจสอบอย่างระมัดระวังเขาก็กลับห้องตัวเอง

หลังเหตุการณ์เศร้าโศก เขาเลือกที่จะไม่คิดเรื่องของจางฮู่อีก จากนั้นนำยันต์ออกมาและเริ่มศึกษา

ครั้งแรกที่เห็นยันต์เซียนผืนนี้มองเผินๆเหมือนกับยันต์ใบอื่นที่ใช้ส่งศิษย์สายนอกกลับบ้าน แต่หวังหลินมองได้ลึกกว่านั้น เขาพบว่ามันมีส่วนผสมและน้ำหมึกที่เยอะกว่า ซึ่งทำให้มีคุณภาพมากกว่ายันต์ปกติ

หวังหลินถือยันต์เซียนไว้ ครุ่นคิดเล็กน้อย เขาไม่รู้คุณสมบัติอย่างอื่นของยันต์อันนี้ นับตั้งแต่วันที่เขาเกือบตายหลังจากดื่มน้ำค้างมากเกินไป ทำให้หวังหลินต้องระมัดระวังกับพวกของวิเศษและไม่ใช้อย่างผลีผลาม

ถึงอย่างนั้นคุณลักษณะบนยันต์เซียนได้เผยให้เห็นถึงความอันตราย ทำให้เขาระมัดระวังมากขึ้น ดังนั้นหวังหลินจึงเก็บมันกลับไว้ในกระเป๋าใส่ของ ทิ้งไว้เผื่อตรวจสอบวันอื่น

พอเสร็จเรียบร้อย เขาพลางหยิบลูกปัดลึกลับขึ้นมาและเข้าสู่มิติความฝัน

เวลานี้เขาไม่ได้มุ่งเน้นไปที่พลังงานในการกำหนดลมหายใจแต่ใช้เวลาเรียนรู้วิชาเซียนแรงโน้มถ่วง

เขารู้สึกว่าวิชาแรงโน้มถ่วงมีประโยชน์ขึ้นก็ตอนที่ใช้กับพี่ลิ่ว ดังนั้นหวังหลินจึงตั้งใจแน่วแน่ว่าจะเริ่มฝึกวิชานี้อย่างจริงจัง

หวังหลินใช้น้ำเต้าเป็นเป้าหมาย พยายามลองใช้พลังโน้มถ่วงเพื่อจับน้ำเต้า เขาพยายามอยู่หลายครั้งในที่สุดก็สำเร็จจนได้ หวังหลินหยุดการใช้พลังแรงโน้มถ่วงและเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น

ความคิดหวังหลินเรียบง่าย เขาต้องการใช้พลังได้อย่างอิสระ ถ้าใช้สิบครั้งก็ต้องสำเร็จสิบครั้ง ไม่งั้นเช่นนั้นไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งเท่าไหร่มันก็ใช้ไม่ได้ในยามจำเป็น

หวังหลินคำนวนเล็กน้อย ด้วยสถานการณ์ตอนนี้เขาทำสำเร็จเพียง 3 ใน 10 ครั้ง การสำเร็จสี่ครั้งมันก็ยังไกลจากมาตรฐานที่เขาต้องการ

เวลาผ่านไปในมิติความฝัน ความรู้สึกราวกับร่างกายถูกฉีกกระชากได้ดึงเขาให้กลับเข้ามาในโลกความเป็นจริง หวังหลินไม่เสียเวลาต่อไป เขาลืมตาขึ้นดื่มน้ำจากหินลูกปัดและเริ่มฝึกลมหายใจ เมื่อพลังปราณในร่างเติมเต็มขึ้น จึงสูดหายใจเข้าลึกๆดวงตาเป็นประกาย สมองเขาคิดถึงเนื้อหาในตำราสามขั้นรวบรวมลมปราณ

จากตำราสามขั้นรวบรวมลมปราณ มีเพียงบทร่ายที่สำคัญเพียงสองบทเท่านั้น

บทร่ายพวกนี้เป็นแก่นแท้ของขั้นการรวบรวมลมปราณ มีทั้งสิ้นสิบห้าขั้น ระดับแรกก็มีบทสำคัญในตัวมันเอง ส่วนอีก 14 ขั้นก็จำเป็นต้องการบทสวดเพื่อเข้าสู่ระดับถัดไป

ตัวอย่างถ้าเขาสำเร็จขั้นแรกได้แล้ว แม้เขาจะเชี่ยวชาญขั้นตอนรวบรวมลมปราณระดับสอง เขาก็ยังอยู่ขั้นแรกอยู่ถ้าเขายังไม่สำเร็จบทร่ายของระดับสอง

หวังหลินเริ่มจากท่องบทเงียบๆ พลังปราณในร่างกายเริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากเล็กๆน้อยๆในทีแรก ยิ่งยาวนานขึ้นก็เหมือนกับน้ำเดือด มันกระจายในทุกๆส่วนของร่างกาย

เห็นได้ชัดว่าพลังปราณที่ได้มายังไม่เพียงพอและยิ่งแพร่กระจายไปทั่วร่างกายของเขายิ่งทำให้รู้สึกคันๆ ปวดเมื่อย แสบร้อน คล้ายกับร่างกายเต็มไปด้วยแผลเหวอหวะ ความรู้สึกพวกนี้ราวกับเป็นภาพมายาว่าร่างเขาเต็มไปด้วยรูเต็มไปหมด ซึ่งทั้งหมดนี่เกิดจากพลังปราณ

เส้นคั่นอันโดดเด่นของสามขั้นการรวบรวมลมปราณนั้น การร่ายบทสวดของแต่ละระดับไม่ได้จะสำเร็จเสมอไป

พรสวรรค์ พลังปราณ และชะตากรรมจะเป็นโอกาสของคนผู้นั้น บางคนก็สำเร็จในครั้งแรก บางคนก็จำเป็นต้องใช้เป็นสิบหรือร้อยครั้งในความพยายามทั้งหลาย

หลังเวลาผ่านไปอย่างยาวนาน ความรู้สึกหลากหลายจึงเริ่มกระจายไปอย่างช้าๆ หวังหลินเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อจากพลังปราณที่กระจายไปทั่วร่างกาย แต่เข้าใจจากตำราว่าการสูญเสียตอนนี้เป็นเรื่องชั่วคราวเท่านั้น ซึ่งสามารถฟื้นฟูได้จากการนั่งสมาธิ หวังหลินเข้าสู่ระดับสองด้วยความล้มเหลวแต่ยังมีจิตใจที่ไม่ยอมแพ้ เวลานี้เขาพยายามต่อไปอีกเรื่อยๆไม่หยุดจนกว่าระดับของพลังปราณในร่างกายจะเข้าสู่ระดับสอง

นอกจากนี้ หลังจากที่เขาผ่านเข้ามาสู่ระดับแรกได้สำเร็จ หวังหลินก็ไม่ได้รีบร้อนที่จะเก่งขึ้น เขายังมีน้ำแร่แช่ลูกปัดอยู่กับตัวเอง ดังนั้นแค่ฝึกเซียนจนกว่าจะถึงขีดจำกัดระดับแรกจากนั้นค่อยพยายามไปที่ระดับสองอีกครั้ง นั่นจะเพิ่มโอกาสสำเร็จให้กับตัวเขามากที่สุด

ด้วยการวางแผนแบบนี้ หวังหลินฝึกรวบรวมลมปราณทั้งวันทั้งคืน พลังปราณในร่างกายเริ่มเก็บสะสมอย่างช้าๆและวิชาเซียนแรงโน้มถ่วงก็เริ่มเชี่ยวชาญมากขึ้น

เขาทดลองใช้บทร่ายเพื่อเปิดเข้าสู่ระดับสองอยู่หลายครั้งแต่ทุกครั้งจบลงด้วยความล้มเหลว

ในความจริงพึ่งผ่านไปได้ครึ่งเดือนแต่ในมิติความฝันได้ผ่านไปสามเดือน วันนี้หวังหลินกำลังฝึกรวบรวมลมปราณอยู่นั้น ขณะที่รอเวลาเพื่อเข้าสู่มิติความฝันอีกครั้ง เขาเห็นว่ามันเป็นเวลาสายแล้ว หวังหลินลังเลเล็กน้อยจากนั้นจึงเริ่มเอ่ยบทร่ายเพื่อเข้าสู่ระดับสองอีกครั้ง

เขาไม่ได้นับว่าพยายามลองวิธีนี้ไปกี่ครั้งแล้ว ทุกๆครั้งมันจบด้วยการกระจายพลังปราณในร่างกายโดยปราศจากความสำเร็จ

สองชั่วโมงต่อมาหวังหลินเงยศีรษะขึ้น เขาล้มเหลวอีกครั้ง พลังปราณแพร่กระจายออกจากร่างกาย หวังหลิมบ่นพึมพำกับตัวเองด้วยรอยยิ้มบูดเบี้ยว “ล้มเหลวอีกแล้ว การเข้าสู่ระดับสองมันช่างยากเย็นเสียจริง!” ทันใดนั้นสายตาเขาก็มุ่งไปที่ประตู

เสียงเย็นเยียบดังผ่านเข้ามาจากประตู “ศิษย์น้องหวัง ออกมาพบข้าหน่อย”

เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้น หวังหลินลุกขึ้นยืนและออกไปเปิดประตูก็พบกับชายหนุ่มชุดดำอายุประมาณ 27 หรือ 28 ปี ด้วยท่าทางหนาวเย็น

“ชุดสีดำ!” หัวใจหวังหลินบีบรัด เขาจำได้ว่าคนตรงหน้าคือคนเดียวกับที่นำหวังจัวและหวังเฮ่ามาทดสอบที่สำนักเหิงยั่วและยังเป็นคนที่พาพ่อของหวังหลินออกตามหาเขาใกล้หน้าผาอีกด้วย

แต่หวังหลินจำได้ว่า ณ เวลานั้นเขายังใส่ชุดขาว แต่หลังผ่านไปไม่กี่เดือน กลับสามารถได้ชุดดำ! ยังจำได้ถึงวันที่ทดสอบที่ตีนเขา คนที่นำหวังเฮ่าเป็นผู้ช่วยนั้นคือคนที่อยู่หน้าหวังหลินตอนนี้ เขาได้เข้าใกล้จุดสำคัญในระดับการบ่มเพาะและมองมาราวกับผู้ตรวจสอบเพื่อไม่ให้เสียสมาธิ

…………………………………