ตอนที่ 26 ประสงค์ร้าย
พอหวังหลินคิดเรื่องวิชาทั้งสามจึงเกิดอาการตื่นเต้น เขาพยายามใช้วิชาบอลอัคคีผนึกพลังไว้ที่แขนแต่ผลลัพธ์ที่ว่าลืมเรื่องไฟไปได้เลย มันไม่มีกระทั่งประกายสักนิด หลังจากลองอยู่นานหวังหลินขมวดคิ้วและลองพยายามใหม่อีกครั้ง
เวลาผ่านไปสักพักในที่สุดก็พบกับความล้มเหลว เขาสร้างประกายไฟได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น
หวังหลินหัวเราะอย่างขมขื่น “พรสวรรค์...มันต้องเป็นเพราะพรสวรรค์!” จากนั้นเขาก็ฝึกวิชาแยกปฐพีบนหินใกล้ๆ แม้ว่าผลลัพธ์จะดีกว่าวิชาบอลอัคคี แต่มีรอยร้าวขนาดเล็กเท่านิ้วมือปรากฏขึ้นเท่านั้น วิชาเซียนนี้ทำได้แค่หลอกคนทั่วไปได้ แต่ในการต่อสู้จริงๆมันช่างไร้ประโยชน์
สุดท้ายเขาก็ฝึกวิชาแรงโน้มถ่วงซึ่งผลลัพธ์ยังไม่เป็นดังที่เขาพอใจ
แต่หลังจากขบคิดถึงโอกาสความสำเร็จในวิชาแรงโน้มถ่วงแล้วพบว่ามันสูงที่สุด หวังหลินจึงใช้ความพยายามทุกอย่างเพื่อฝึกวิชาแรงโน้มถ่วงนี้ ความจริงพลังโน้มถ่วงเป็นแค่การควบคุมวัตถุจากระยะไกลเท่านั้น
ถ้าคนที่สามารถควบคุมพลังโน้มถ่วงได้ดีและคล่องแคล่ว เมื่อขั้นรวบรวมลมปราณระดับสอง เขาจะสามารถฝึกวิชาผลักวิถีได้ หลังจากผ่านเข้าระดับสามและระดับสี่ก็ยังสามารถเข้าไปที่หอกระบี่วิญญาณเพื่อเลือกกระบี่เหินได้อีก
หวังหลินฝึกเป็นเวลานานแล้วจึงกลับบ้านก่อนที่จะค่ำมืด ตอนนี้เขาเข้าสู่ระดับแรกได้แล้ว สายตาและการฟังได้เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย หลังจากเข้าผ่านประตูตะวันออก เขาได้ยินเสียงคุ้นเคยผ่านมาจากหอฝึกงาน
“พี่ลิ่วตอนที่ท่านให้ข้าไปเก็บฟืน ท่านบอกว่าร้อยท่อนก็จะจบเสร็จงานได้ ทำไมตอนนี้ท่านมาบอกว่าพันท่อน? ข้าจางฮู่ไม่ใช่เด็กใหม่และผ่านมาหลายปีแล้ว ข้าเคารพท่านมาโดยตลอด นี่ท่านต้องการทำให้ข้าออกจากสำนักขนาดนั้นเชียว?”
“จางฮู่ อย่าพูดว่าข้าทำให้หนักใจสิ นี่มันเกือบจะสิ้นปีแล้ว แม้แต่ศิษย์พี่ก็ไม่ได้มีช่วงเวลาดีนักหรอก เจ้าแทนที่จะทำงานแต่มาที่นี่เพื่อเล่าเรื่องโง่ๆนี้หรอ ตอนที่ข้านำฟืนที่เจ้าเก็บมาได้ไปที่คลังสมุนไพร ข้าก็โดนตำหนิมา จึงได้นำกลับมาตรวจสอบอีกครั้ง เจ้าสารเลวตัวน้อย ฉลาดจริงๆ ในไม้ร้อยท่อนมีน้ำอยู่สามสิบ”
จางฮู่โกรธ เขาพูดเสียงดัง “เป็นไปไม่ได้ ท่านกำลังกล่าวหาข้า ไม่ใช่ว่าสองสามวันก่อนข้าเห็นจ้าวฟูกุ้ยให้ยันต์เซียนท่านเพื่อให้ท่านมอบงานง่ายๆให้หรือ? นี่ใช่เรื่องใหญ่โตตรงไหนกัน? ในเหล่าศิษย์สายนอกมีใครไม่รู้บ้างว่าท่านทำอะไร? ท่านพยายามบังขับข้าให้ออกจากสำนักเหิงยั่ว แกมันระยำ ชั่วช้า ข้าจะไม่ทำอะไรทั้งนั้น ข้าจะไปบอกเหล่าผู้อาวุโส”
“จางฮู่ เจ้าบังคับข้าให้ทำแบบนี้เอง ถ้าเจ้าต้องการจะดุด่าใครสักคนก็คงต้องโทษตัวเองเถอะที่โชคไม่ดีไม่มีอย่างใครเขา จางฮู่จงอยู่ที่นี่ ถ้าเหล่าผู้อาวุโสรู้เรื่องเข้า ครอบครัวเจ้าจะตายเพราะตัวเจ้าได้”
ศิษย์ลิ่วส่งเสียงเยือกเย็นออกมาจากห้อง จางฮู่ส่งเสียงร้องลั่น หลังจากหวังหลินได้ยินแบบนั้นจึงตกใจและเตะเปิดประตูเข้าไป
สิ่งที่หวังหลินเห็นอย่างแรกคือศิษย์ลิ่วแทงมีดกลางด้ามไปที่จางฮู่ซึ่งเผยแววตกใจ จากนั้นร่างเขากระแทกกับผนัง
หวังหลินเห็นว่าไม่มีเวลาพอจะช่วยจางฮู่ เขารีบใช้วิชาเซียนแรงโน้มถ่วงทันที โชคดีที่เวลานี้มันสำเร็จขึ้น มือล่องหนได้รัดแน่นศิษย์ลิ่ว แต่ว่ามีดได้ตัดผ่านอกของจางฮู่เรียบร้อยจนโลหิตไหลออกจากแผล
จางฮู่ใบหน้าซีดลง เม็ดเหงื่อผุดโผล่บนหน้าผาก เขาเห็นหวังหลินและรีบขยับกายไปด้านข้าง
ศิษย์ลิ่วรู้สึกตกใจและพยายามดิ้นรนทันที หน้าผากหวังหลินเริ่มเหงื่อออกราวกับเริ่มจะเสียการควบคุม
นี่มันเป็นเพราะหวังหลินใช้วิชานี้กับคนเป็นครั้งแรก เห็นได้แน่ชัดแล้วว่าเขายังควบคุมมันไม่คล่องแคล่ว รวมกับคนที่โดนจับกำลังดิ้นรนอยู่มันจึงรักษาการควบคุมนี้ได้ยาก ร่างหวังหลินเริ่มสั่น พอเห็นว่าจางฮู่ไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก เขาผ่อนคลายเล็กน้อยและคลายวิชาแรงโน้มถ่วงออก
เมื่อเห็นว่าศิษย์พี่ลิ่วหลุดจากการควบคุมได้เล็กน้อย จางฮู่เผยอาการประหลาดใจ เขามองไปที่หวังหลินจากนั้นก็พี่ลิ่ว แสดงสีหน้าโหดเหี้ยมจากนั้นจางฮู่หยิบขวานตัดไม้และเดินไปตรงหน้าศิษย์พี่ลิ่ว
ใบหน้าศิษย์พี่ลิ่วเต็มไปด้วยความกลัวและพยายามดิ้นรนมากขึ้น จางฮู่กัดฟันกรอดและบ่นพึมพำกับตัวเอง “ไม่มีชายใดที่ไร้พิษสง ศิษย์พี่ลิ่ว ท่านบังคับข้าให้ทำแบบนี้เอง ท่านต้องการฆ่าทั้งครอบครัวข้าใช่ไหม?”
“จางฮู่ เจ้าคิดจะทำอะไร!” หวังหลินตื่นตกใจ ส่งผลให้วิชาแรงโน้มถ่วงได้สูญเสียประสิทธิภาพ
จังหวะศิษย์พี่ลิ่วเริ่มหลุดจากการควบคุมนั้นเอง ค้อนของจางฮู่ก็ได้ผ่าแสกกลางศีรษะไปแล้ว ศิษย์พี่ลิ่วหนีได้ช้าเกินไป เสียงราวกับแตงโมถูกบดขยี้ดังโพละขึ้นในห้อง ร่างศิษย์พี่ลิ่วสั่นกระตุกบนพื้นจากนั้นก็หยุดแน่นิ่งไม่เคลื่อนไหว
ขวานที่จางฮู่ถือในมือหล่นลงพื้น เขามองไปยังร่างศพที่เต็มไปด้วยเลือดด้วยท่าทีซับซ้อน
หวังหลินตกใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นฉากนองเลือดแบบนี้ หลังจากผ่านไปสักพักจึงได้เอ่ยถามขึ้น “จางฮู่ เจ้า….”
จางฮู่มองหวังหลิน ใบหน้าดูบิดเบี้ยว เผยอาการน่ากลัว เขาพูดคำต่อคำ “หวังหลิน เจ้าเห็นก็ดีแล้ว ข้าไม่ต้องการฆ่าเขา ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า คงเป็นข้าเองที่ถูกสังหาร เขาบังคับข้าให้ทำแบบนี้ เขาบังคับข้า!”
หวังหลินเหลือแต่เพียงความเงียบ เขาไม่ได้หวังให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นเลย
จางฮู่สูดลมหายใจลึก ใบหน้าแสดงถึงความหนักแน่นจากนั้นเดินไปที่ศพเพื่อค้นหาอะไรบางอย่าง เขาหยิบกระเป๋าถือที่เต็มไปด้วยยันต์เซียนหลายร้อยใบที่ศิษย์สายนอกใช้เพื่อไปเยี่ยมครอบครัว นอกจากนี้ยังมีหนังสือเล่มเล็กที่ผูกด้ายเอาไว้ จางฮู่เหลือบมองไปที่หนังสือนั้นและหยิบมันใส่ไว้ในอกเสื้อ
จากนั้นค้นห้องจนทั่ว สุดท้ายพบช่องลับใต้เตียง เมื่อเปิดดูจึงเห็นเศษกระดาษสีเหลือง
เมื่อลังเลเล็กน้อยเขาหันกลับมาที่หวังหลินแล้วพูดขึ้น “หวังหลิน เจ้าช่วยข้าไว้ ข้าจางฮู่จะจดจำบุญคุณครั้งนี้ ส่วนสำนักเหิงยั่วข้าคงไม่สามารถอาศัยอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป เมื่อทางสำนักค้นหาร่างลิ่วชิงเจอ พวกเขาจะออกกำลังค้นหาข้า เจ้านำสิ่งนี้ไป เพราะยันต์เซียนอันนี้เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด มันต้องเป็นสมบัติอย่างนึงไม่งั้นพี่ลิ่วคงไม่พยายามฆ่าข้าแน่ๆ” เช่นนั้นเขาก็ยื่นกระดาษสีเหลืองให้หวังหลิน
หวังหลินไม่ได้หยิบมัน เขาได้แต่ถอนหายใจและยิ้มขึ้นอย่างขมขื่น “เจ้า… ทำไมเจ้าต้องทำเช่นนี้ ถ้าเจ้าไม่ฆ่าเขา...”
จางฮู่ขมวดคิ้วพูดขึ้น “หวังหลิน อย่าพูดเรื่องนี้อีกเลย ข้าทนทุกข์ทนมานมากมากพอตลอดสองสามปีที่ผ่านมา ถ้าเจ้ายังเห็นข้าเป็นเพื่อน ได้โปรดรับยันต์เซียนนี่ไว้”
หวังหลินหยิบยันต์เซียนมาไว้อย่างทุกข์ใจ เขาไม่ได้พูดอะไรอื่น
“หวิงหลิน ข้าต้องไปแล้ว เจ้าไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นหากสำนักเหิงยั่วเกิดสืบเรื่องราว พวกเขาก็ต้องจับกุมแต่เพียงข้าเท่านั้น ถึงตอนนั้นข้าก็ออกจากสำนักไปแล้ว ฮึ่ม! แคว้นจ้าวช่างยิ่งใหญ่นัก ข้าเป็นได้เพียงศิษย์สายนอกไปชั่วชีวิต” จางฮู่แสดงออกอย่างซับซ้อน จากนั้นก็ออกจากห้องไป
…………………………………………