บทที่ 25 รวมปราณ

ตอนที่ 25 รวมปราณ

ในสำนักเหิงยั่วเวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว หวังหลินฝึกรวบรวมลมปราณอยู่ในเขตความฝันผ่านไปสองเดือน จากนั้นจึงเข้าใจถึงความสามารถของหินลูกปัดได้ถี่ถ้วน

ขอบเขตความฝันเข้าได้สามครั้งต่อวัน แต่ละครั้งยาวนานถึงห้าสิบชั่วโมง รวมกันได้หกวัน

สองเดือนผ่านไปในโลกแห่งความจริงแต่แท้จริงแล้วหวังหลินฝึกไปกว่าหนึ่งปี

การฝึกเป็นอะไรที่น่าเบื่อสุดๆ หวังหลินไม่เคยรู้สึกอย่างนั้นมาก่อน ทว่าตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว ดื่มแต่น้ำลูกปัดเป็นประจำมันก็ดี หรือไม่กินอะไรเลยทั้งวันก็ดี ที่ทำมีเพียงแค่นั่งสมาธิกับฝึกหายใจเท่านั้น

ทำซ้ำอยู่อย่างนั้น หายใจหนึ่งยาวสามสั้นเพื่อดูดซับพลังปราณ ทุกครั้งก็ต้องอดทนไม่ให้วอกแวก ภาพแห่งความคาดหวังของพ่อแม่ฉายออกมาอยู่ในใจ เกรงว่าเขาจะไม่ยอมทิ้งการฝึกไปเพราะน่าเบื่อแน่ๆ

โดยเฉพาะเมื่อคิดว่าหวังจัวไปถึงขั้นรวบรวมลมปราณระดับแรกภายในเวลาสามเดือนอีก ด้วยเหตุนี้หวังหลินจึงมุ่งมั่นให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น เขาขังตัวเองอยู่แต่ในห้องเพื่อฝึกฝนโดยไม่สนใจความเสี่ยง

หวังหลินถูกล้อเลียนจนกลายเป็นเรื่องตลกของสำนักเหิ่งยั่ว กระนั้นเขากลับไม่ใส่ใจกับความอับอายนี้ ถึงจะมีคนแบบนี้อยู่เยอะ แต่พวกเขาก็แทบจะไม่สนใจหวังหลินอยู่แล้ว

แม้ซุนต้าซื่อจะพยายามลืมเรื่องหวังหลิน การคิดเรื่องอีกฝ่ายอยู่ในใจมีแต่ยิ่งทำให้โกรธเสียเปล่าๆ ทางที่ดีคือสละความคิดนี้ทิ้งไป

ในสภานการณ์เช่นนี้รวมถึงเขาไม่หวังอะไรจากหวังหลินด้วยแล้ว จึงทำให้ระหว่างนี้ เมื่อหวังหลินเข้าไปในฝันเสร็จ ก็ต้องรีบซ่อนลูกปัดเอาไว้ทันที ดังนั้นสองเดือนที่ผ่านมาทั้งสองจึงไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจามากนัก เลยไม่มีใครรู้เรื่องที่ลูกปัดอยู่กับหวังหลิน

เมื่อสองเดือนก่อน หวังหลินไม่สามารถคำนวณปริมาณน้ำลูกปัดที่ดื่มเข้าไปได้ ปกติแล้วทุกครั้งที่เขารู้สึกขาดแคลนพลังปราณในร่างกาย ก็จะดื่มน้ำไปสองสามอึก

ถ้าผู้อาวุโสซุนจะมาที่นี่และรู้เรื่องเข้า หัวใจเขาคงเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แล้วหวังหลินก็จะถูกหวดจนตายคามือ ในสังคมผู้ฝึกเซียนระดับแรกเริ่มของเขตจ้าวนั้นไม่มีใครที่ฝึกเซียนแบบหวังหลินโดยการดื่มน้ำแร่ธรรมชาติที่เต็มไปด้วยพลังปราณเช่นนั้น มีเพียงพวกผู้เฒ่าระดับสูงของบางสำนักเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์เข้าใช้งานพื้นที่หลักที่อยู่บนภูเขาสูงซึ่งเต็มไปด้วยพลังปราณหนาแน่นให้ได้ผลเช่นเดียวกันกับที่หวังหลินดื่มน้ำนี่

สถานที่ที่มีพลังปราณถือได้ว่าเป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุดในหัวใจของผู้ฝึกเซียนทุกคน แม่ว่าในเขตจ้าวจะไม่มีแหล่งพลังปราณที่มีความอุดมสมบูรณ์มากนัก มันก็ยังมีพอให้กับเหล่าศิษย์ในสำนักอยู่จำนวนนึง ถ้าเซียนคนอื่นรู้ว่าหวังหลินมีสนามพลังปราณเช่นนี้ คงหัวใจวายตาย

ถ้าหวังหลินใช้น้ำแร่พลังปราณไปสร้างเม็ดยาอมตะ มันจะเพิ่มโอกาสสำเร็จได้มากมาย แม้การสร้างเม็ดยาอมตะจะมีส่วนผสมหลายชนิดแต่นั่นก็ยังได้ผลลัพธิ์ที่ดีกว่ามาก

ด้วยการช่วยเหลือจากสระพลังปราณที่ไม่มีวันหมดในตัวลูกปัดหิน ปริมาณพลังปราณในร่างหวังหลินจึงเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

วันนี้ขณะหวังหลินกำลังฝึกหายใจอยู่ในความฝัน เขาพลันสัมผัสได้ว่าพลังปราณในร่างนั้นกำลังเปี่ยมล้น ลมหายใจยาวนานยิ่งขึ้น ควันสองสายออกมาจากปากและจมูกราวกับมังกรสีขาวก่อนจะจางหายไป

เขารู้สึกเหมือนถูกแมลงคลานอยู่รอบตัวเบาๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ทำอะไรสำเร็จอย่างแรงกล้า มันให้ความรู้สึกเหมือนมีน้ำกำลังชำระทุกส่วนในร่างกาย ของเหลวสีดำกลิ่นเหม็นพลันขับออกมาจากรูขุมขน

ไม่นานนักเสื้อผ้าก็ชุ่มแฉะไปด้วยของเหลวสีดำ หวังหลินไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้ เขากำลังจมอยู่ในความรู้สึกอันแปลกประหลาดอยู่ขณะนั้น นี่มันเหมือนกับเขากำลังมองดูน้ำแร่กำลังไหลผ่านเข้าไปข้างในตัวเองขณะเดียวกันพลังปราณก็เปลี่ยนแปลงร่างกายหวังหลินอย่างช้าๆ

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานขนาดไหน หวังหลินลืมตาขึ้นในฝันพบกับแสงสีขาวนวลสว่างจ้าอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน สายตากระจ่างชัดมากยิ่งขึ้น

สติยังคงแจ่มชัด จิตใจราวกับทะเลสาบอันเงียบสงบไร้ระลอกคลื่น เกิดการนึกถึงวัยเด็ก พ่อของเขาเคยส่งสายตารักใคร่เมตตามาให้ตอนที่เขาพูดได้ ในช่วงดึกแม่ก็จะเล่านิทานก่อนให้ฟัง สายตาคาดหวังของทั้งพ่อแม่ส่งออกมาหาเมื่อเขาไปอยู่สำนักเหิงยั่ว ใบหน้าเยาะเย้ยจากพวกญาติพี่น้องต่างๆและสายตาริษยาจากพวกชาวบ้าน เขามองเห็นทั้งหมดนั่นอยู่เพียงลำพังราวกับเป็นคนแปลกหน้า

จากนั้นหายใจเข้าลึกๆ หัวใจรู้สึกขมขื่น หวังหลินก้าวสู่ขั้นรวบรวมปราณระดับแรกได้แล้ว เพราะฉะนั้นเขากำลังเข้าใจคำใบ้อย่างหนึ่ง

อ้างอิงจากหนังสือการรวมปราณบทที่สาม ขั้นแรกเป็นเสมือนบานประตู เมื่อครั้งที่ประตูได้เปิดขึ้น คนนั้นจะมีสิทธิ์กลายเป็นเซียนและจำเป็นต้องตัดสัมพันธ์กับทางโลก

ทุกคนจะได้ผ่านประสบการณ์ในการบรรลุขั้นรวบรวมลมปราณระดับแรก หวังหลินไม่รู้ว่าคนอื่นจัดการกับเรื่องนี้เช่นไรแต่เขาจะตัดเรื่องทางโลกทิ้งเอาไว้ยกเว้นความรักจากพ่อแม่

หวังหลินถอนหายใจ ตบเสื้อตัวเองเบาๆแล้วลุกขึ้น

ดวงตาสว่างใสมองไปรอบๆ ตอนนี้เขาพบความแตกต่างจากพื้นที่ในความฝัน อาทิเช่นเขาไม่สามารถมองเห็นภาพแสงในอดีตนั่นแล้ว จนถึงตอนนี้สายตายังเหมือนเดิมแต่เขามองเห็นเพิ่มขึ้นหนึ่งอย่าง สิ่งนั้นที่ซ่อนเร้นอยู่ในพลังปราณ แม้จะไม่ใช่ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่ถ้าให้เทียบกับเมื่อก่อน มันก็เหมือนกับคนตาบอดได้กลับมามองเห็นแสงสว่างอีกครั้ง

เมื่อเขาจดจ้องอยู่อย่างนั้น อาการเจ็บปวดราวกับฉีกกระชากก็ปรากฏอีกครั้ง แม้ว่ามันยังมีความเจ็บแต่ก็ลดน้อยลงอย่างมากจากเมื่อก่อนและไม่ได้ทำให้เขาหลั่งเหงื่อเย็นๆอีกแล้ว

หวังหลินลืมตาขึ้น ครุ่นคิดอยู่บนเตียงแล้วหยิบน้ำเต้าขึ้นมาดูภายในพบว่าในนั้นมีน้ำมีแสงสลัวๆลอยออกมา น้ำเต้าเต็มไปด้วยพลังปราณ

หวังหลินเผยรอยยิ้มขึ้นมาเต็มใบหน้า หลังจากบรรลุขั้นรวบรวมลมปราณระดับแรกได้เขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังของฟ้าดิน หวังหลินสูดหายใจลึก พบว่าร่างผอมลงและหัวเราะออกมา มีการอ้างถึงในสามขั้นแรกของการรวบรวมลมปราณว่าหลังจากเข้าสู่ระดับแรกได้ ร่างกายจะฝืนขับสิ่งปฏิกูลออกมา ซึ่งเป็นขั้นตอนจำเป็นในกระบวนการเปลี่ยนโครงสร้างร่างกาย

หวังหลินเปิดประตูออกไปเป็นช่วงบ่ายกว่า เขาก้าวฉับไวไปทางประตูทิศตะวันออกแล้วจึงมาถึงที่ทะเลสาบ เมื่อพบแหล่งน้ำเขาจึงถอดเสื้อออกและกระโดดลงแม่น้ำเพื่อชำระล้างร่างกาย รอยกระดำกระด่างมันขลับนี้คือสิ่งสกปรก เขาต้องใช้เวลาอยู่นานจึงจะทำให้มันกลับมาสะอาดได้อีกครั้ง

จากนั้นเมื่อเสร็จสิ้นจึงนอนลงโขดหินใกล้ เหม่อมองท้องฟ้าหวนนึกถึงตำราสามขั้นการรวมพลังปราณ

ในนั้นได้แนะนำวิชาเซียนที่เรียกว่า วิชาแรงโน้มถ่วง ซึ่งได้ถูกพิจารณาว่าเป็นวิชาเซียนพื้นฐานที่ควรมีและใช้กันอย่างแพร่หลายในขั้นรวบรวมปราณระดับแรก

สำนักเหิงยั่วเป็นปึกแผ่นกับแคว้นจ้าวเมื่อห้าร้อยปีก่อน แม้ว่าจะทรุดโทรมไปบ้าง มันยังคงลงเหลือวิชาเซียนอยู่หลายวิชา ศิษย์ทุกคนจะได้ถูกส่งไปหอคัมภีร์เพื่อเลือกหนึ่งในวิชาเซียนเหล่านั้น แต่ผู้อาวุโสส่วนใหญ่มักจะแนะนำให้เลือกวิชากระบี่มากกว่า

เทคนิควิชากระบี่เป็นวิชาที่ให้ความสนใจไปที่การฝึกกระบี่ทุกส่วน แม้ว่ามันจะยากในอนาคตแต่ในตอนต้นมันมีความแข็งแกร่งและรุนแรงอย่างมากทั้งยังควบคุมง่าย ทางด้านวิชาแรงโน้มถ่วงยังเป็นรากฐานสู่การควบคุมกระบี่เหิน

นอกจากวิชาแรงโน้มถ่วง ยังมีอีกสองวิชาที่บันทึกไว้ในสามขั้นรวบรวมปราณ มันคือบอลอัคคีและแยกปฐพี

……………………………………………