ตอนที่ 10 เข้าสู่สำนัก
ชายหน้าแดงขมวดคิ้วพลางทำท่าไม่พอใจ “ผู้อาวุโสหลี่ สำนักเหิงยั่วตกต่ำขนาดนี้เชียวหรือ? พวกเราไม่ได้กังวลอยู่แล้วว่ามนุษย์คนนึงมันจะอยู่หรือตายน่ะ?”
ผู้อาวุโสหลี่ลืมตาขึ้นและพูดอย่างใจเย็น “ผู้อาวุโสหม่า ข้าจะตอบอย่างตรงไปตรงมาแล้วกัน เมื่อไม่มีคุณสมบัติ เจ้าเด็กไร้ประโยชน์นั่นก็คงจะฆ่าตัวตายอีกรอบแน่นอน ข่าวจะแพร่กระจายไปยังตระกูลต่างๆว่าสำนักเหิงยั่วฆ่าเด็กตัวเล็กๆ เพราะงั้นพวกเราเลยลำบากใจ ถ้าเกิดเรื่องน่าอายขึ้น แล้วท่านจะตอบพวกเขาว่ายังไง?”
ชายวัยกลางคนรีบพูดไกล่เกลี่ย “ดีเลย พวกเราไม่ต้องการทะเลาะกัน ขอแค่ยอมรับเด็กคนนี้เป็นศิษย์สายนอก และถ้าหลังจากนี้สิบปีเขาไม่ได้เป็นซิ่วเซียน ก็ให้เขากลับไป แบบนี้เราก็เลี่ยงปัญหาในอนาคตได้ ไม่ดีหรอกหรือ?”
ชายสวมเสื้อคลุมยาวลายไหมพูดขึ้นจากด้านข้าง “ถ้าเด็กคนที่ถูกปฏิเสธไปแล้วทำเลียนแบบ เราจะทำยังไง?”
ชายวัยกลางคนหัวเราะและพูดขึ้นว่า “นี่เป็นเรื่องง่าย หลังจากที่เราได้บทเรียนกับเรื่องนี้ เมื่อมีคนไม่ผ่านการทดสอบเราควรบอกว่าการพยายามฆ่าตัวตายไม่ใช่ทางแก้ปัญหา น่าจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ในอนาคต ส่วนหวังหลินคนนี้ เมื่อเหตุการณ์นี้บานปลายไปแล้วเราก็แค่ให้เขากลายเป็นศิษย์คนนึง แค่เพิ่มมาคนเดียวก็ไม่เท่าไหร่หรอก”
นอกจากผู้อาวุโสหลี่ อีกสองคนก็มองไปที่ชายกลางคนแต่ไม่ได้พูดอะไร
ชายวัยกลางคนยิ้มในใจและคิด ‘โอ้ หวังหลินนะหวังหลิน อย่างไรข้าก็ช่วยแก แม้อาสี่เจ้าจะให้แร่บริสุทธิ์ราคาสูงก็เถอะ แต่มันจะเสียน้ำใจเปล่าๆถ้าจะปฏิเสธสินน้ำใจเล็กน้อยแค่นี้’
อย่างไรก็ตามชายวัยกลางคนไม่ได้รู้ว่าลุงสี่ของหวังหลินนั้นได้ซื้อเศษแร่จากช่างเหล็กโดยความบังเอิญ แววตาฉลาดเฉลียวของเขานั้นยืนยันว่านี่เป็นของพิเศษ และมั่นใจว่าหวังหลินจะได้รับเป็นศิษย์ของสำนักเหิงยั่ว มูลค่าจริงๆของมันเป็นสมบัติที่เขาเองก็นึกไม่ถึง
เศษของแร่ชั้นดีได้เปลี่ยนแปลงชะตาของหวังหลิน เมื่อข่าวไปถึงหวังหลินเขาก็แทบไม่เชื่อว่าตัวเองจะได้รับเป็นศิษย์สายนอกโดยไม่มีเหตุผลชัดเจน
สองวันต่อมาครอบครัวของเขาก็ถูกพากลับไปโดยศิษย์สำนักเหิงยั่ว หลังจากเห็นใบหน้าเปี่ยมความสุขของครอบครัว เขาจึงตั้งใจที่จะฝึกฝนที่นี่
อย่างไรก็ตามความคิดของเขาก็ต้องเปลี่ยนไปหลังจากพ่อแม่กลับไปแล้ว หวังหลินได้เป็นศิษย์สายนอกแบบพิเศษ ศิษย์ที่เป็นผู้มอบหมายงานหันมามองหวังหลินฉายแววตาเจ้าเล่ห์และดูถูก ”เจ้าคือหวังหลิน เด็กที่เป็นศิษย์ได้เพราะพยายามฆ่าตัวตายสินะ? ฮ่าๆๆๆ”
หวังหลินมองเงียบไปทางชายหนุ่มที่พยายามท้าทายเขา หนุ่มชุดเหลืองยิ้มเยาะและพูดขึ้น ”เด็กใหม่ เริ่มตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นพรุ่งนี้ เจ้าจะต้องทำงานของข้า งานคือไปตักน้ำ ถ้าไม่ได้สิบโอ่งในหนึ่งวันก็ไม่ต้องรับอาหาร ถ้าเจ็ดวันเจ้าขาดไปสักวัน ข้าจะรายงานให้ผู้อาวุโสเตะออกจากสำนัก เอ้านี่...รับชุดไปซะ จำไว้ว่า ศิษย์สายนอกจะสวมชุดสีเทา มีแค่ศิษย์อย่างเป็นทางการเท่านั้นจะได้ชุดสีอื่น” จากนั้นเขาก็โยนชุดให้หวังหลินและหลับตาลง
หวังหลินหยิบชุดของเขาและถามขึ้น “ให้ข้าไปพักที่ไหน?”
หนุ่มชุดเหลืองพูดออกมาไม่โดยไม่ได้ลืมตา “ไปทางเหนือ จะเห็นบ้านเล็กๆเป็นแถว นำตราของเจ้าให้ศิษย์ที่นั่น พวกเขาจะจัดห้องให้เอง”
หวังหลินเดินไปทางทิศเหนือ หลังจากไปแล้วชายหนุ่มชุดเหลืองก็ลืมตาขึ้นพูดอย่างเหยียดหยัน “รับคนที่พยายามจะฆ่าตัวตายเนี่ยนะ มันก็เป็นได้แค่ขยะนั่นแหละ!”
ระหว่างทางเดินในสำนักเหิงยั่ว ศิษย์สายนอกส่วนใหญ่ที่หวังหลินเห็นจะสวมชุดสีเทา ใบหน้าซีดเซียวและท่าทางหนาว ถืออุปกรณ์ในมือดูเหน็ดเหนื่อยราวกับทุกคนกำลังรีบทำอะไรสักอย่าง
หลังจากเดินขึ้นเหนือไปได้สักพัก สุดทางหวังหลินก็เห็นบ้านเล็กๆเรียงกันเป็นแถว มีศิษย์ชุดเทามากมายพบเห็นได้เต็มไปหมด
หลังจากเขายื่นตราให้กับศิษย์ชุดเหลือง เขาก็ชี้ไปที่ห้องห้องหนึ่ง
หวังหลินรับรู้ถึงการแสดงออกอย่างเย็นชาของผู้คนที่นี่ เขาเข้าไปที่ห้องของตัวเองและเปิดประตูเข้าไป มันเป็นห้องกว้างใหญ่มีสองเตียง หนึ่งโต๊ะ และเก้าอี้สองตัว ทุกอย่างดูสะอาดราวกับเป็นของชิ้นใหม่ในบ้านหลังนี้
เขาวางกระเป๋าตัวเองลงบนเตียงว่างตัวนึงและนอนลงบนนั้น แม้ว่าจะได้เข้าสำนักเหิงยั่วแต่นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดหวังไว้สักนิด หวังหลินคิดว่าเรากำลังเข้าไปสู่การเรียนรู้เพื่อเป็นเซียน แต่ดูเหมือนว่างานของเขาคือการตักน้ำใส่โอ่ง
เมื่อคิดเรื่องนี้ หวังหลินถอนหายใจและหยิบหินลูกปัดมาวางไว้บนอก นี่คือสมบัติที่มีค่าที่สุดของเขา หวังหลินอ่านหนังสือมามากมายและเขารู้ว่ามันจะอันตรายมากถ้ามีใครสักคนรู้เข้าว่านี่คือสมบัติ
ไม่นานนักก็ถึงเวลากลางคืน ชายหนุ่มท่าทางเหนื่อยอ่อนชุดสีเทาเปิดประตูและเดินเข้ามา เขาตกใจเมื่อเห็นหวังหลินจากนั้นก็ได้ผ่านเข้าไปที่เตียงตัวเองโดยไม่ได้พูดอะไรสักคำ
หวังหลินไม่ได้อะไรคิดมาก เขารู้ตัวว่าพึ่งตื่นมาก่อนหน้านี้ พลางลูบท้องตัวเองจากนั้นดึงมันหวานออกมา ครอบครัวของเขาได้ซื้อมาให้เขากินก่อนที่จะออกค้นหา และเมื่อเขายอมรับเป็นศิษย์ ครอบครัวจึงให้อาหารทั้งหมดนี่ไว้
มันหวานนี้มีความหวานหอมอย่างมาก ระหว่างที่หวังหลินกำลังกิน เด็กหนุ่มก็ตื่นขึ้นส่งแววตาสบเข้ากับมันหวานของเขา เสียงกลืนน้ำลายดังอึกจากนั้นพูดเสียงต่ำ “ขอข้าสักชิ้นได้ไหม?”
หวังหลินหยิบออกมาอีกเล็กน้อย “ข้ามีอีกเยอะ ถ้าเจ้าต้องการอีก”
ชายหนุ่มรีบหยิบอาหารขึ้นและวางผ้าพันคอลง เขาเดินไปที่โต๊ะและเทน้ำมาแก้วนึงก่อนจะร้อง “บ้าเอ้ย! ข้าไม่ได้กินอะไรมาสองวันแล้ว เจ้าชื่ออะไร?”
หวังหลินบอกชื่อตัวเองไป ชายหนุ่มหัวเราะ “งั้นเจ้าก็คือหวังหลิน ขยะที่เข้าสำนักมาได้เพราะพยายามฆ่าตัวตายนั่นน่ะนะ...” ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าพึ่งพูดอะไรออกไป “พี่ชายชื่อจางฮู่ บอกความจริงอะไรให้ ตอนนี้ไม่มีใครในสำนักที่ไม่รู้เรื่องเจ้าเพราะงั้นอย่าพึ่งด่าข้าเลยที่พูดอะไรออกไป จริงๆแล้วข้าชื่นชมเจ้ามากนะที่พยายามจะเข้าสำนักด้วยวิธีนี้ต่างหาก”
หวังหลินหัวเราะอย่างขมขื่น เขาไม่ได้พยายามแก้ตัวอะไรและส่งมันหวานให้
จางฮู่รับมาอย่างรวดเร็วและกัดเข้าไปคำเล็กก่อนจะพูดขึ้น “หวังหลิน เจ้าควรจะระวังตัวเองให้มากเข้าไว้ เจ้าพึ่งเป็นเด็กใหม่ที่นี่ ใครจะรู้ว่าไอ้พังพอนเหลืองนั่นพยายามจะทำอะไรกับเจ้า บัดซบ พวกมันทำกับเราเหมือนไม่ใช่มนุษย์”
………………………………..