บทที่ 30 หวังเฮ่า

ตอนที่ 30 หวังเฮ่า

“ข้าต้องทำเรื่องไม่มีเหตุผลมากกว่านี้อีกหรือ?” เพื่อการออกจากตำแหน่งโรงเรือน หวังหลินเตรียมพร้อมจะออกไปนานแล้ว เขาอยากรู้จริงๆว่าเหล่าผู้อาวุโสจะทนได้อีกนานแค่ไหน

หลังจากหวังหลินฝึกในมิติความฝันราวหนึ่งปี พลังปราณในร่างเขาเพิ่มขึ้นจำนวนหลายเท่า เขาเข้าใกล้ถึงขีดจำกัดสูงสุดของขั้นรวบรวมลมปราณระดับแรกแล้ว ไม่ว่าจะฝึกหายใจมากขนาดไหน พลังปราณก็ไม่มีวี่แววจะเพิ่มขึ้นอีกเลย ดังนั้นคืนนี้หวังหลินจึงจะเริ่มพยายามท่องบทร่ายเพื่อเข้าสู่ระดับสอง

หลังจากล้มเหลวอยู่หลายครั้ง ฝึกฝนเคี่ยวกรำอย่างหนักไม่ย่อท้อ ในที่สุดเขาก็ไม่อยากเสียเวลาและเริ่มทะลวงเข้าสู่ระดับสอง

รูขุมขนทั่วร่างกายมีไขมันสีดำไหลออกมา หวังหลินจัดการชำระร่างกาย มองดูใบหน้าตัวเองบนนั้น ดวงตาสุกสว่างราวกับประกายสายฟ้า เขาดูแตกต่างจากที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด

หวังหลินลูบคางแล้วคิดขึ้นมา ‘ตอนนี้แค่มีโอกาสที่จะเข้าสู่ระดับสาม ถ้าข้ากลับไปหาซุนต้าซื่อเพื่อถามเรื่องระดับถัดไปและรู้ว่าข้าขึ้นสู่ระดับสองได้แล้ว มันต้องถามแน่ๆว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้าข้าอธิบายไม่ได้คงนำปัญหาใหญ่มาให้แน่’

หลังคิดอยู่ชั่วครู่ หวังหลินยังคงไม่มีความคิดดีดีอะไรนัก ช่วยไม่ได้ที่เขาจะขมวดคิ้วออกมา

หวังหลินถอนหายใจและเริ่มฝึกวิชาแรงโน้มถ่วง หลังจากผ่านไปหนึ่งปีหวังหลินฝึกจนมีโอกาสสำเร็จเต็มร้อย ตั้งแต่ที่บรรลุมาถึงระดับสอง หวังหลินตัดสินใจอยากลองเพิ่มระดับความยากขึ้น เขาพบหินก้อนใหญ่ในโรงเรือนและเริ่มฝึกกับมัน

เวลาผ่านไปอีกหนึ่งเดือน หวังหลินจบงานดูแลศิษย์สายนอกด้วยคำกล่าวหาไม่หยุด ฤดูหนาวเข้ามาเยือนและในสำนักได้เริ่มเตรียมพร้อมกับการแข่งขันศิษย์สายในตอนสิ้นปี

ปีนี้พิเศษกว่าปีไหนๆเพราะว่าสำนักเหิงยั่วได้ให้ศิษย์สายนอกมีส่วนร่วมในการประลองด้วย ซึ่งจะมีขึ้นทุกๆสิบปีและตรงกับปีนี้พอดี สามอันดับแรกของศิษย์สายนอกจะสามารถได้เป็นศิษย์สายใน ดังนั้นศิษย์ลับทุกคนต่างขัดเกลาฝีมือตัวเอง ขณะเดียวกันก็เหมือนกับพายุที่พร้อมจะปะทุได้ทุกเมื่อ

นอกจากนั้นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับโรงเรือนที่หวังหลินดูแลอยู่จึงเลื่อนไปอีกเพราะทุกคนต่างยุ่งมาก

หวังหลินค่อนข้างผิดหวังเพราะว่าเขายังเป็นผู้รับผิดชอบศิษย์สายนอกและยังมีเรื่องการแข่งขันของศิษย์สายในด้วย เขายังไม่มีแผนที่จะเข้าร่วม ถ้ามีเวลาทำไมไม่เอาไปฝึกฝนการบ่มเพาะในมิติความฝันแทน?

วันนี้ภูเขาเหิงยั่วปกคลุมไปด้วยหิมะ เกล็ดหิมะตกมาจากท้องฟ้า หิมะทำให้ภูเขาลูกนี้เปลี่ยนโฉมเป็นสีเงินนวล มองไกลๆดูราวกับดินแดนแห่งหิมะ

หวังหลินไม่ได้ฝึกฝนแต่กลับยืนเงียบๆในลาน วิชาแรงโน้มถ่วงได้ออกมาราวกับมือยักษ์เคลื่อนไปรอบๆ ทั้งผลักหิมะไปอีกด้าน เกล็ดหิมะกระจายรอบตัวแต่ไม่ได้มีส่วนไหนตกบนร่าง

พอมองไปยังทิศทางของบ้าน ถ้าเป็นเวลานี้ของปีเขาคงอยู่กับครอบครัวและกำลังอุ่นเตาผิงร้อนๆ

เขาคงจะนั่งข้างเตาแล้วอ่านหนังสือ พ่อก็ทำงานไม้ข้างๆ ส่วนแม่ก็น่าจะกำลังง่วนอยู่กับการเก็บผักกาด

บางทีเมื่อเขารู้สึกเหนื่อยจากการอ่านเขาก็นั่งข้างๆพ่อ มองดูท่านทำงานไม้ที่ภาคภูมิใจ เขาเห็นจิตวิญญาณความมุ่งมั่นอยู่ข้างในและพยายามช่วยท่าน เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขซึ่งกันและกัน

นอกจากนั้นหวังหลินก็ยังจำเตียงนอนในห้องเขาได้ ที่ที่เขาซ่อนลูกข่างและนำออกมาเล่นยามหิมะตกกับเด็กข้างบ้าน

ภาพในความทรงจำประทับตราตรึงในใจ หวังหลินไม่สามารถตัดความสัมพันธ์กับคนปกติธรรมดาเพื่อเพ่งสมาธิไปที่การเป็นฝึกเซียนได้ เขาหลับตาลงและเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง จิตใจก็กระจ่างชัด เขาเห็นความสัมพันธ์ทางโลก แต่หวังหลินก็รู้ว่าตนเองยังไม่สามารถตัดความรู้สึกแบบตัดขาดได้เพราะเก็บมันไว้ส่วนลึกของจิตใจ

ยามคิดถึงความทรงจำดีดี เขาก็เกิดความไม่สบายใจ ตอนนี้บรรลุขั้นรวบรวมลมปราณระดับสองแล้วและสัมผัสวิญญาณจึงตื่นขึ้นมา เรื่องพวกนี้ได้อธิบายไว้ในหนังสือสามขั้นการรวบรวมลมปราณ

พอจับกระแสพลังวิญญาณ เขารู้ว่าหวังเฮ่ากำลังมาที่นี่ ต่อมาประตูก็เปิดขึ้น หวังเฮ่าเดินเข้ามาสวมเสื้อและหมวกขนสัตว์ หวังเฮ่ามองอย่างประหลาดใจไปที่หวังหลินและพูดขึ้น “พี่ไท้จู พี่ไม่รู้สึกหนาวเลยหรือ ยืนท่ามกลางหิมะโดยที่ใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นเช่นนั้น”

“ข้าคำนวณว่าเจ้าอาจจะมาเพื่อหาข้า เพราะเช่นนั้นข้าจึงออกไปต้อนรับเจ้ายังไงหล่ะ ” หวังหลินหัวเราะ ตั้งแต่บรรลุระดับสองเขาก็รู้สึกว่าร่างกายแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนอย่างเทียบไม่ติด

หวังเฮ่าหัวเราะ เดินเข้ามามองหวังหลินอย่างระวัง “พี่ไท้จู ทำไมข้ารู้สึกว่าพี่ดูต่างจากเมื่อสองสามเดือนก่อนเล็กน้อย?”

หวังหลินพูด “มันเรื่องธรรมดา ตอนนี้ข้าได้เข้าสู่ระดับสองขั้นรวบรวมลมปราณแล้วและจะเริ่มจะเป็นเซียน!”

หวังเฮ่าเบะปากและเดินเข้าห้องพักก่อนจะพูดขึ้น “ขี้โม้เกินไปแล้ว เราทั้งคู่มีพรสวรรค์เท่ากัน ข้าได้รับยาช่วยเหลือจากเม็ดยาเซียนบ่อยๆและยังไม่เข้าสู่ระดับแรกเลยด้วยซ้ำ แต่พี่เข้าสู่ระดับสองเนี่ยนะ? เป็นไปไม่ได้!!”

หวังหลินไม่ได้แก้ตัว เขารู้ว่าบางครั้งความจริงก็เป็นสิ่งที่คนอื่นไม่เชื่อ ในทางตรงข้ามถ้าเขาพูดโกหกก็จะมีคนสงสัย เขายังรู้จักหวังเฮ่าไม่ดีพอ เป็นเรื่องดีที่จะกันเขาไว้ก่อน

การเชื่อใครสักคนตั้งแต่แรกเห็นนั้นไม่ใช่สิ่งที่หวังหลินต้องการ

“หวังเฮ่า เจ้ามาที่นี่มีเวลาแค่ไหน? คลังสมุนไพรไม่วุ่นวายหรอกหรือ?” หวังหลินเข้ามาในห้อง เทน้ำร้อนให้กับหวังเฮ่า

หวังเฮ่ารับถ้วยและจิบไปเล็กน้อยก่อนจะเป่าให้หายร้อนพลางพูดแบบอมยิ้ม “ท่านไม่ได้ไปคลังสมุนไพรเพื่อรับยาก็หลายเดือนแล้ว ข้าจึงมาช่วยท่านและส่งของให้วันนี้ไง” พูดจบเขาก็ดึงถุงผ้าใบเล็กจากอกและวางมันบนโต๊ะข้างๆ

หวังหลินเผยรอยยิ้มจางๆบนใบหน้า เขาไม่ได้มองไปที่ของแต่กลับมองไปที่หวังเฮ่า หวังหลินไม่เชื่อว่าหวังเฮ่าแค่มาส่งของให้เขา

หวังเฮ่าเขินเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น ”พี่ไท้จู ข้าได้ยินมาว่าท่านอยู่อย่างสบายในสำนักเป็นเวลาหลายเดือนแล้วใช่ไหม?”

หวังหลินเทน้ำร้อนให้กับตัวเอง จิบทีนึงและกล่าวขึ้น “หวังเฮ่า พูดมาเถอะว่าต้องการอะไร ถ้าข้าช่วยได้ข้าก็จะยินดีช่วยเต็มที่!”

หวังเฮ่าสีหน้าอายๆ เขาเข้ามาใกล้พลันกระซิบ “พี่ไท้จู ข้ารู้ว่าท่านเป็นคนฉลาด บอกความจริงมาเถอะ ข้ารู้ว่าท่านเก็บยันต์เซียนที่ใช้ส่งศิษย์สายนอกกลับบ้านไว้เยอะ ท่านจะให้ข้ายืมสักหน่อยได้ไหม?”

…………………………………….