ตอนที่ 44 หลี่ชาน
หวังหลินครุ่นคิดชั่วครู่และพูดขึ้น “เจ้ามีแผนจะทำอะไร? ต้องการให้ข้าช่วยอะไรไหม?”
หวังเฮ่าถอนหายใจ “ท่านเพียงแค่ระดับสาม ท่านไม่สามารถช่วยข้าได้เพราะว่าลิ่วหยุนเจี๋ยบรรลุระดับหกไปแล้ว เพราะสามารถผลิตเม็ดยาออกมาได้จึงเป็นที่รักของเหล่าผู้อาวุโส ข้าไม่มีความหวังเหลือแล้ว หวังหลิน ในสองสามปีที่ข้าอยู่สำนักเหิงยั่ว เจ้าเป็นเพื่อนข้าคนเดียวและเป็นพี่ใหญ่ข้าด้วยซ้ำ ถ้าเจ้าแข็งแกร่งขึ้นในอนาคต โปรดล้างแค้นให้ข้าด้วย!” หวังเฮ่ากำหมัดตัวเองแน่น
หวังหลินมองไปที่หวังเฮ่าและพยักหน้า
หวังเฮ่ายิ้มอย่างขมขื่นและพูดขึ้น “พี่ไท้จู ท่านต้องการให้ข้าช่วยอะไรหรือ? ตอนที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าจะช่วยท่านมากเท่าที่ข้าทำได้ ต้องการเม็ดยารวมปราณอย่างนั้นหรือ? ข้ามีมากมายนัก”
หวังหลินมองไปที่หวังเอ่า เขาเลิกถามวัตถุดิบที่ต้องการจากหวังเฮ่าและส่ายศีรษะ หวังหลินต้องการช่วยหวังเฮ่าแต่ศัตรูเป็นถึงระดับหก จึงไม่มั่นใจ
แม้ว่าสัมผัสวิญญาณและวิชาแรงโน้มถ่วงที่เขาฝึกฝนมากกว่ายี่สิบปีจะแตกต่างจากคนอื่น เขายังไม่เคยสู้เลยสักครั้งดังนั้นจึงไม่แน่ใจว่าเขาแข็งแกร่งแค่ไหนกันแน่
หวังเฮ่าเห็นหวังหลินเงียบเสียง จึงตบไปที่เสื้อคลุม “พี่ไท้จู ท่านมีพรสวรรค์มากกว่าข้า คิดถึงตอนที่พวกเรากำลังทดสอบ มันช่างเหมือนความฝันจริงๆ เวลานั้นผ่านมารวดเร็วนัก...” หวังเฮ่าถอนหายใจและหันตัวจากไปด้วยใบหน้ามืดหม่น หายตัวไปอย่างช้าๆจากสายตาหวังหลิน
“ในโลกของผู้ฝึกเซียน คนอ่อนแอเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง….” หวังหลินครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งในใจและเริ่มจ้องมองไปบนฟ้า
ณ ขณะนั้น หวังหลินรับรู้ถึงความยิ่งใหญ่
ที่เรียกว่าความยิ่งใหญ่นั้น ไม่ใช่เพราะเข้าใจจากระดับการบ่มเพาะแต่เป็นมากกว่าความรู้ที่ไหลผ่านสมอง สิ่งที่เพิ่มขึ้นในที่นี้ไม่ใช่ระดับการบ่มเพาะหรือพลังวิญญาณ แต่เป็นการเข้าใจฟ้าดิน
การตระหนักถึงความโหดร้ายในโลกแห่งเซียนคือความเข้าใจความยิ่งใหญ่ของเขา เพื่อการเป็นผู้ฝึกเซียน จำเป็นต้องมีทัศนคติของผู้ฝึกเซียน
หวังหลินพึมพำพลางถอนหายใจออกมา “หรือว่าความอ่อนแอเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่งจะเป็นความคิดที่ผู้ฝึกเซียนจำเป็นต้องมี?”
หวังหลินเคลื่อนย้ายร่างและหายตัวไปจากที่ที่เขาอยู่
เขากลับมาที่สวนสมุนไพร ใบหน้าหวังหลินเปลี่ยนไปในทันที เขาเห็นห้องรับแขกมีศิษย์จากสำนักซวนต้าวพักอยู่ที่นี่จึงเดินเข้าไปหาอย่างครุ่นคิด
ก่อนจะเข้าไปพลันได้ยินเสียงโอ้อวดดังออกมาจากข้างใน
“เหล่าพี่น้องสำนักเหิงยั่วข้าจะเล่าให้ฟัง กระบี่เหินที่ข้ามีเล่มนี้เป็นหนึ่งสมบัติหายากของสำนักซวนต้าว มันเรียกว่า กระบี่เงินตรายามเที่ยง พวกท่านนึกไว้เลยว่าจะต้องเจอกับปัญหาอีกมากขนาดไหนหากพยายามขโมยกระบี่เล่มนี้ ถ้าพวกท่านต้องการซื้อมัน ต้องสาบานว่าจะไม่ใช้กระบี่นี้ในการประลองอีกสามวัน ไม่เช่นนั้นข้าก็ไม่ขาย”
มีใครบางคนถามขึ้นอย่างสงสัยในทันที “สมบัติชิ้นนี้มันอัศจรรย์อย่างที่ท่านกล่าวมาเช่นนั้นหรือ?”
“ข้าหลี่ชาน ไม่เคยโกหก ถ้าพวกท่านไม่เชื่อข้านั่นก็ช่างเถอะ ข้าสามารถขายกระบี่เหินเล่มนี้ที่ไหนก็ได้”
หวังหลินพบแล้วว่าสถานที่นี้แห่งนี้ผิดปกติ มีศิษย์จำนวนมากจากทั้งสองสำนักรวมตัวกัน เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้ๆ พลันเห็นศิษย์อายุราวๆยี่สิบปีของสำนักซวนต้าวถือกระบี่ที่ทำจากเหรียญเงินมีสีฟ้าเรืองรองกำลังพูดคุยอย่างลื่นไหล
ศิษย์สำนักซวนต้าวทั้งหมดรอบด้านต่างมีใบหน้าแปลกประหลาด หนึ่งในคนพวกนั้นไม่สามารถทนอยู่เฉยได้ เขากระแอมขึ้นก่อน “สิ่งที่ศิษย์น้องหลี่ชานพูดนั้นถูกต้อง กระบี่เงินตรายามเที่ยงนี้เป็นสมบัติของสำนักซวนต้าวเราจริงๆ แต่ข้าขอพูดหน่อยเถอะว่าที่อยู่ในมือน้องชายหลี่ชานนี้เป็นของปลอม แม้ว่ามันจะคล้ายกันหน่อยก็เถอะ”
ศิษย์เหิงยั่วพูดคุยในกลุ่มตัวเอง จากนั้นศิษย์ระดับห้าเดินเข้ามา หวังหลินจดจำได้ว่านั่นคือศิษย์ที่ชื่อจ้าว ศิษย์จ้าวเดินเข้าไปหาหลี่ชานและพวกเขาพูดคุยกันเองจนเกิดการแลกเปลี่ยนขึ้น และทั้งสองเผยรอยยิ้มบนใบหน้า
ในเหล่าศิษย์สายใน มีคนที่รู้เรื่องกระบี่เล่มนี้พูดเย้ยหยัน “มันก็แค่กระบี่เหล็กธรรมดาที่มีทองวิญญาณแตกหักอยู่เท่านั้น ยังมีคนกล้าขายมันอีกหรือ? ดูเหมือนว่าสำนักซวนต้าวจะคุ้มค่ามากจริงๆ”
หลี่ชานตอบโต้ทันที “พี่คนนี้พูดไม่ถูกต้องเสียทีเดียว ศิษย์พี่อาวุโสของข้าแม้จะพูดว่ามันเป็นของปลอมแต่สำนักเหิงยั่วของเจ้าก็ยังมีคนมาซื้อมันไป นี่เป็นของที่ดีที่สุดเพื่อประโยชน์ในความแปลกใหม่นี้”
ศิษย์สำนักเหิงยั่วที่ได้ซื้อกระบี่นั้นหัวเราะขึ้น “พี่หลี่ชาน สิ่งที่ท่านพูดนั้นผิดแล้ว ข้าไม่ได้ซื้อกระบี่เล่มนี้เพื่อเก็บสะสม แต่ข้าจะนำมันไปให้ท่านพ่อข้า ครอบครัวข้าเลี้ยงหมูอยู่หลายตัว กระบี่นี้น่าจะใช้หั่นหมูได้ดีทีเดียว”
หลี่ชานไม่ได้เศร้าใจและเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ตั้งแต่ที่ท่านซื้อมันไป ข้าก็ไม่ห่วงอยู่แล้วว่าท่านจะเอาไปทำอะไร เอาหล่ะ ข้ายังมีสมบัติชิ้นอื่น มันเรียกว่า บอลสายฟ้าความมืดล่องหน! ของสิ่งนี้เป็นสมบัติจริงๆ ข้าไม่ได้โกหก เราสามารถลองทดสอบดูได้”
ขณะนั้นเขาได้หยิบเอาบอลสีดำออกมาและโยนมันไปบนกำแพง เสียงดังตู้มมม ปรากฏรอยปริแตกบนผนัง หมอกความมืดโผล่ออกมาบนจุดที่บอลกระแทกโดนและเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็น
หลี่ชานพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงภูมิใจ “เป็นเช่นไรบ้าง? บอลสายฟ้าแห่งความมืดล่องหนนี้เป็นอาวุธลับที่ข้าคิดขึ้นมาเอง แม้ว่าพลังจะไม่ได้รุนแรงมาก ถ้ามันลงบนพื้นหรือบนใครสักคนจะแปดเปื้อนและไม่สามารถล้างออกได้ โดยเฉพาะกลิ่นที่สร้างจากมูลสัตว์หลายชนิดที่ใครๆต่างก็ไม่ชอบมัน”
ทุกคนตกตะลึงและจ้องมองตาค้าง ศิษย์สตรีสองสามคนหยีจมูกตัวเองและเดินถอยออกไปหลายก้าว หวังหลินก็ตกตะลึงเช่นกัน เขาส่งสัมผัสวิญญาณออกไป ทันใดนั้นเผยแววประหลาดใจออกมา
เหล่าศิษย์ของซวนต้าวทั้งหมดรู้สึกอึดอัด หลี่ชานรู้ว่าไม่มีใครกล้าหาเรื่องเขาเพราะไม่ต้องการโดนระเบิดเหม็นพวกนี้
ระเบิดโคลนเหม็นนั้นมีชื่อเสียงในสำนักซวนต้าวมาก มันอาจจะตรงกับสมบัติล้ำค่าในสำนักจริงๆ
“เป็นเช่นไรบ้าง? ตอนนี้ข้าได้แสดงความลับทั้งหมดไปแล้วเชียว แต่ข้าขอย้ำคำพูดเดิมก่อนหน้านี้ว่า พวกท่านไม่สามารถใช้มันได้ในการประลองอีกสามวัน ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่ขาย” หลี่ชานเผยใบหน้าเคร่งขรึม แต่หัวเราะอย่างลับๆในใจ ‘เจ้าพวกโง่เอ๊ย ยิ่งข้าพูดว่าพวกเจ้าใช้มันไม่ได้ก็ยิ่งทำให้พวกเจ้าอยากใช้มันมากขึ้น ฮี่ฮี่ มีการแสดงดีดีให้ดูแล้วหล่ะ เหล่าผู้อาวุโสต้องยกย่องข้าด้วยการให้สมบัติวิเศษสักสองสามชิ้นเป็นแน่’
คิดได้ดังนั้นแววตาเขาก็ส่งประกายและเริ่มตะโกน
……………………………………..