ตอนที่ 80 วิชาเซียนหลอมโลหิต
หลังจากเคลื่อนย้ายพริบตาอีกสามครั้ง สีบนกระบี่ก็เปลี่ยนเป็นแสงสีเขียวสว่าง ทั้งแสงและเสียงที่เปล่งออกมาจากกระบี่ได้แสดงให้เห็นว่ามันอ่อนแอมาก
ไม่นานหลังจากนั้นกระบี่เหินก็ไม่ได้เคลื่อนพริบตาอีก ขณะเดียวกันมันก็ถูกพลักให้จนมุมจากอักขระสีทองทั้งสอง หวังหลินปลดปล่อยพลังปราณออกมาเพิ่มอีก กระบี่เหินยิ่งช้าลงและถูกล้อมรอบไปด้วยพลังปราณ อักขระสีทองทั้งสองหมุนวนลำตัวกระบี่ราวกับมังกรคู่สองตัว ทุกครั้งที่กระบี่เหินพยายามจะหนี พวกมันจะใช้พลังบังคับให้กลับมา ดังนั้นกระบี่เหินไม่อาจออกไปได้
เวลาได้ล่วงเลยผ่านไป กระบี่เหินไม่ได้ลดความแข็งข้อลง แต่กลับเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น เมื่อพลังปราณรอบกระบี่ได้อ่อนลง หวังหลินกัดฟันแน่นและปล่อยพลังปราณออกมาเพื่อให้คงสภาพไว้
คืนหนึ่งได้ผ่านพ้นไป ในที่สุดการต่อสู้ระหว่างกระบี่ดูเหมือนจะลดลงเล็กน้อย ใบหน้าหวังหลินกลายเป็นซีดเผือด เขาปลดปล่อยพลังปราณออกมาจากปากหลายสิบครั้งแล้ว
แม้เขาจะอยู่ขั้นรวบรวมลมปราณระดับสิบห้ามีการน้ำพลังปราณช่วยเหลือ เขาก็แทบจะไม่อาจอดทนไหว
แสงแดดยามเช้าส่องผ่านเข้ามาในห้องขณะที่หวังหลินขัดเกลากระบี่ต่อไป กระบี่เหินไม่ต่อสู้อีกแล้ว มันลอยไปในอากาศส่วนหวังหลินใช้เศษเสี้ยวพลังปราณเข้าหามัน
จังหวะนั้นสีหน้าของหวังหลินเปลี่ยนไป เขาได้ยินเสียงเคาะประตู ตามมาด้วยเสียงจางฮู่
“หวังหลิน เจ้าต้องการออกไปร้านอาวุธกับข้าไหม?”
หวังหลินสูดหายในลึกและพูดขึ้น “จางฮู่ ข้ากำลังปรับแต่งอยู่ในช่วงวิกฤติ ข้าไปไม่ได้”
จางฮู่ตกตะลึง เขาครุ่นคิดชั่วขณะ จากนั้นก็นั่งสมาธิลงหน้าประตูหวังหลินโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา
หวังหลินไม่ได้รบกวนจางฮู่และปรับแต่งต่อไป วันเวลาได้ผ่านไปอย่างช้าๆจนกระทั่งถึงยามดึก หวังหลินดื่มน้ำพลังปราณในน้ำเต้าไปสามอันแล้ว แต่การปรับแต่งยังไม่สิ้นสุด
ในความสิ้นหวังนั้น หวังหลินได้ถามคำแนะนำจากซือถูหนานขึ้น
ซือถูหนานพูดอย่างช้าๆ “เด็กน้อย ในที่สุดเจ้าก็กลับมาหาข้าหรือ? ฮึ่ม! ข้ากำลังรออยู่ทีเดียว หากเจ้าปิด่านฝึกตนสักสิบปีและใช้พลังปราณมหาศาล เจ้าก็อาจมีโอกาสหลอมมันให้สำเร็จได้ ข้ากำลังพูดถึงโลกแห่งความจริง ไม่ใช่พื้นที่ในลูกปิดฝืนลิขิตฟ้า”
หวังหลินขมวดคิ้วถามขึ้น “นานขนาดนั้น?”
ซือถูหนานพูด “แน่นอน มันเป็นสมบัติขั้นแกนลมปราณและยังเป็นสมบัติระดับสูงพิเศษ เซียนขั้นแกนลมปราณบ้าบอคนนั้นต้องสร้างมันขณะที่เขากำลังแก้ปัญหาพวกเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดกันอยู่ และด้วยความเสี่ยงที่จะบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิด เขาจึงใช้โอกาสทะลวงขั้นนั้นเพื่อหลอมสมบัติชิ้นนี้ขึ้น คนผู้นี้เป็นคนบ้าอย่างแท้จริง ข้าก็อยากได้มันเช่นกัน แต่หลังจากคิดอยู่นานแล้ว ข้าก็ยอมแพ้ แม้ว่าความล้มเหลวในการบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดไม่ได้แย่มากมายนัก แต่การทะลวงผ่านขั้นวิญญาณแรกกำเนิดเป็นจังหวะที่อันตรายมากๆ พลาดเพียงก้าวเดียว วิญญาณของเจ้าก็จะสูญสลาย ”
“ไป๋ซานเจ้าของเก่าต้องได้รับความช่วยเหลือจากผู้สร้างมันเพื่อทำให้มันกลายเป็นอาวุธเฉพาะตัว หากข้ามีร่างกายก็คงหลอมได้ง่ายๆ แต่ตอนนี้ข้าไม่อาจทำได้มากนัก...ทว่า...”
หวังหลินรู้นิสัยตาเฒ่าคนนี้อยู่แล้วและเขาก็ชอบสิ่งล่อตาล่อใจ ดังนั้นหวังหลินไม่กังวลและกำลังรออยู่เช่นกัน
หลังจากนั้นชั่วขณะ ซือถูหนานถอนหายใจและพึมพำ “ช่างมันเถอะ ข้าบอกเจ้าได้แค่ว่า หากเจ้าใช้วิธีหลอมธรรมดา มันจะใช้เวลามากเกินไป ข้าจะสอนวิธีหนึ่งที่เรียกว่าวิชาเซียนหลอมโลหิต ประโยชน์ของมันก็คือเจ้าสามารถทำให้มันเป็นกระบี่ของเจ้าได้ทันที ทว่าผลเสียนั่นก็คือหากกระบี่ได้รับความเสียหาย เจ้าก็โดนไปด้วย แต่ด้วยจำเป็นต้องใช้เวลาในการหลอมมัน ความเสียหายที่เจ้าได้รับก็ยังน้อยกว่าวิธีอื่น”
หวังหลินลังเลเล็กน้อยและพูดขึ้น “บอกข้าเถอะว่าจะใช้วิชาเซียนหลอมโลหิตได้เช่นไร”
ซือถูหนานแค่ต้องการให้หวังหลินออกไปรออย่างใจจดใจจ่อสักเล็กน้อย แต่สังเกตได้ว่าเจ้าเด็กคนนี้อาจจะปฏิเสธเขาได้ ดังนั้นจึงตัดสินพูดขึ้นมาแต่มีเงื่อนไขอย่างหนึ่ง
“ถ้าไม่ได้แตะเนื้อต้องตัวผู้หญิงมาหลายปีแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าต้องทำให้ข้าพึงพอใจ แม้ว่าข้าจะแค่เฝ้าดูก็เถอะ”
หวังหลินตอบซือถูหนานอย่างคลุมเครือ จากนั้นสร้างอักขระประหลาดบนฝ่ามือตามการชี้นำของซือถูหนาน เขากัดลิ้นตัวเองพ่นเลือดออกมาจากปากและมันก็เต็มไปด้วยพลังปราณ จากนั้นเคลื่อนฝ่ามืออย่างรวดเร็ว อักขระประหลาดอันหนึ่งได้ปรากฏขึ้นในอากาศ
จังหวะที่อักขระปรากฏ โลหิตเริ่มเข้าสู่อักขระจนถูกดูดซับจนหมดและหลงเหลือแต่อักขระสีเลือด หวังหลินโบกมือคราหนึ่งอักขระจึงร่นลงบนกระบี่
กระบี่สั่นสะท้านอย่างรุนแรงและเริ่มปลดปล่อยเส้นควันสีขาวออกมาทันที
หวังหลินพ่นโลหิตออกมาอีกรอบ เขาดูอ่อนแอแต่สายตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น สร้างอักขระประหลาดอีกอันเพื่อดูดซับโลหิตและพุ่งเข้าหากระบี่
กระบวนการนี้กินเวลาหลายชั่วโมง ยังไม่ถึงยามรุ่ง กระบี่อันคมกริบก็พลันส่งเสียงหึ่งออกมาจากห้องของหวังหลิน จางฮู่ที่นั่งอยู่ข้างนอกห้องเป็นเวลานานในที่สุดก็ยืนขึ้นทันที
ประตูเปิดอย่างเงียบสงัด หวังหลินใบหน้าเผยรอยยิ้มแจ่มใส ตอนนี้เขาอารมณ์ดีมาก “ขอบคุณมาก จางฮู่”
จางฮู่มองไปที่หวังหลินด้วยอาการประหลาดใจ “เจ้ากำลังทำอะไร? ทำไมตอนนี้ข้าได้ยินเสียงกระบี่?”
หวังหลินอ้าปากขึ้นและกระบี่สีเขียวขนาดเล็กเล่มหนึ่งได้ลอยออกมาทันที ขณะที่กระบี่ได้ปรากฏพลันมีกลิ่นคาวเลือดกระจายฟุ้งไปรอบๆ
จางฮู่มึนงงและถามขึ้น “นี่...นี่มันกระบี่เหินของอาจารย์ข้า? เจ้าจัดการหลอมมันแล้ว? หาา? ทำไมถึงมีกลิ่นเลือดรุนแรงขนาดนี้?”
หวังหลินพยักหน้า เขาโบกมือขวา กระบี่เหินกลับมาด้านข้างและเข้าไปในปากเขาอีกครั้ง หวังหลินหงุดหงิดกลิ่นคาวเลือดนี้มากๆ ซือถูหนานมาบอกเขาในตอนใกล้จะจบว่าสมบัติทุกชิ้นที่ถูกใช้วิชาเซียนหลอมโลหิตจะมีกลิ่นคาวเลือด และเมื่อมันสังหารคนในอนาคต กลิ่นคาวเลือดนี้จะยิ่งรุนแรงมากขึ้น
จางฮู่เพ่งไปที่กระบี่เหิน หลังจากมองเป็นเวลานานเขาก็สูดหายใจลึกและพูดขึ้นมา “หวังหลิน ข้าประทับใจมาก ด้วยกระบี่เหินเล่มนี้ ผู้คนที่ระดับเดียวกันไม่อาจเอาชนะเจ้าได้ ความสามารถพิเศษของกระบี่เล่มนี้คือการย้ายร่างพริบตา ระยะทางยังขึ้นอยู่กับพลังปราณของผู้ใช้ แต่เมื่อใช้แบบไม่ทันตั้งตัวจะให้ผลลัพธ์ที่ดีมาก”
ทั้งสองแลกเปลี่ยนคำพูดกันไม่กี่ประโยค เมื่อจางฮู่กำลังจะออกไป เขาก็นึกถึงงานแลกเปลี่ยนที่หวังหลินอยากไปกำลังจะจัดขึ้นในอีกสามวันและหวังหลินควรจะเตรียมตัวได้แล้ว
หลังจากจางฮู่จากไป หวังหลินหยิบฝักกระบี่ออกมา แม้ว่าซือถูหนานจะยกย่องฝักกระบี่นี้แต่กลับไม่รู้ว่าสมบัตินี้อยู่อันดับไหน
เดิมทีหวังหลินคิดว่ากระบี่เหินและฝักกระบี่ได้เข้าชุดกัน แต่หลังจากหลอมกระบี่ไปแล้ว เขาก็สังเกตได้ว่าทั้งสองนี้มีความแตกต่าง
เมื่อตรวจสอบใกล้ๆ ฝักกระบี่ปลดปล่อยจิตสังหารอันแข็งแกร่งรุนแรง ยิ่งหวังหลินมองใกล้มากขึ้นจิตสังหารก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น จนเมื่อจิตใจเขาว่างเปล่าและเห็นได้เพียงแต่ภาพหลอนของกระบี่ลางๆ
…………………….