ตอนที่ 79 ขัดเกลากระบี่
จางฮู่ยัดมันหวานส่วนที่เหลือเข้าปาก หลังจากกินเสร็จเรียบร้อยเขาก็พูดขึ้น “เมืองตระกูลเถิงเป็นของตระกูลเซียนขนาดใหญ่ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นจ้าวทางเหนือ พูดได้ว่ามีผู้เชี่ยวชาญขั้นวิญญาณแรกกำเนิดในตระกูล หากผู้ฝึกเซียนคนไหนต้องการเข้าเมืองต้องจ่ายหินวิญญาณระดับต่ำหนึ่งก้อน หากต้องการอาศัยจำเป็นต้องจ่ายส่วยหินวิญญาณระดับกลางหนึ่งก้อนต่อเดือน ด้วยหินวิญญาณที่ข้าได้รวบรวมมา ข้าสามารถอาศัยที่นั่นได้หกเดือน” หวังหลินลูบคางพลางถามขึ้น “จางฮู่ เมืองตระกูลเถิงนี้มีงานแลกเปลี่ยนไหม?”
จางฮู่พยักหน้า “มีสิ ทุกเดือนจะมีงานแลกเปลี่ยนขนาดใหญ่ที่เซียนระแวกนี้จะเข้ามา เจ้าต้องการแลกเปลี่ยนอะไรหรือ?”
หวังหลินพยักหน้าและยิ้มขึ้น “อะไร? เจ้าไม่ต้อนรับข้าให้ไปกับเจ้าหรอกรึ? ข้าไม่มีหินวิญญาณมากมายนักดังนั้นข้าต้องพึ่งพาเจ้าก่อน”
ตระกูลเถิงเป็นตระกูลเซียนอันโด่งดังในแคว้นจ้าวเขตเหนือ หัวหน้าตระกูลชื่อเถิงฉิงเซิน(藤刑森 Téng xíng sēn) ได้บรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดเมื่อห้าร้อยปีก่อนดังนั้นเขาจึงไม่ได้เข้าสู่สงครามในแคว้นระดับสี่
เขาทั้งยังเป็นผู้ว่าของหุบเขาหวู่เฟิง ซึ่งตำแหน่งนี้ค่อนข้างใหญ่โตทีเดียว เพราะว่าตระกูลเถิงมีบรรพชนเช่นเขา จึงไม่มีใครกล้าล่วงเกินตระกูลได้ แม้แต่สำนักใหญ่ๆก็ไม่กล้าคิด
งานแลกเปลี่ยนของตระกูลเถิงเป็นเวทีสำหรับผู้ฝึกเซียนเพื่อแปลกเปลี่ยนสิ่งของกัน ทุกต้นเดือนเมืองตระกูลเถิงต่างคึกคัก
ยิ่งมีคนมากมายก็ยิ่งมีความขัดแย้งเป็นธรรมดา บางครั้งผู้คนก็ต่อสู้กันตอนที่เจอหน้ากัน ด้วยเหตุนั้น บรรพชนตระกูลเถิง เถิงฉิงเซินได้ตั้งกฏไม่ให้มีการต่อสู้กันเกิดขึ้นในเมือง
ทุกคนในเมืองต้องห้ามต่อสู้
ขณะที่คำสั่งได้ประกาศออกไป ทุกคนเชื่อฟังทันที ยิ่งหลังจากเถิงฉิงเซินออกมาจัดการสังหารเซียนขั้นแกนลมปราณไปสองสามคนด้วยตนเองอีก
วันนี้เอง สายรุ้งสองสายได้ข้ามผ่านฟากฟ้าตรงเข้าหาเมืองตระกูลเถิง หนึ่งในนั้นพูดขึ้น “หวังหลิน การเหาะเหินเป็นสิ่งต้องห้ามภายในเมือง ดังนั้นเราควรจะเดินจากที่นี่เถอะ”
สองคนนี้คือหวังหลินและจางฮู่
สายตาหวังหลินกวาดไปที่เมืองตระกูลเถิงด้านหน้า ตัวเมืองไม่ได้ใหญ่โตมากนัก เหมือนจะเป็นเขตขนาดใหญ่มากกว่าจะเป็นเมืองแห่งหนึ่งด้วยซ้ำ
ข้างนอกเมืองมีศิษย์ตระกูลเถิงสองคนยืนอยู่ทักทายนักเดินทางด้วยรอยยิ้มและยื่นเหรียญตราออกมาให้
หวังหลินขยายสัมผัสวิญญาณออกและพบได้ว่าทั้งสองคนเป็นเซียนระดับสามเหมือนจางฮู่
พอมองแถวยาวเหยียดที่กำลังเข้าไปในเมือง หวังหลินไม่ได้รีบเท่าไหร่นัก เขาตรวจสอบทุกคนในแถวและพบว่าทุกคนต่างเป็นเซียนเช่นกัน คนที่แข็งแกร่งที่สุดเพียงแค่ระดับสิบสามเท่านั้น หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก ทั้งหวังหลินและจางฮู่ก็มาถึงหน้าประตู จู่ๆก็มีร่างหนึ่งปรากฏห่างออกไปไกลปลดปล่อยกลิ่นอายอันแข็งแกร่งออกมา หวังหลินส่งสัมผัสวิญญาณออกมาและตกตะลึงทันที คนผู้นั้นไม่ได้ดูแก่นักอายุราวๆสามสิบปีแต่กลับบรรลุขั้นพื้นฐานลมปราณได้แล้ว
คนผู้นี้รีบเข้ามาถึงหน้าประตู เขาโบกมือคราหนึ่งสร้างลมกรรโชกพัดพาทุกคนออกห่างไป คนที่ระดับต่ำกว่าต่างม้วนตัวไปบนพื้น จางฮู่คงถูกส่งกลิ้งไปเช่นกันหากหวังหลินไม่ได้จับเขาไว้
หวังหลินถอยออกมาสองสามก้าว สีหน้าเป็นปกติจ้องไปที่คนผู้นั้นอย่างเยือกเย็น
คนผู้นั้นหายใจเยือกเย็นและก้าวไปที่ประตู เขาโยนตราสัญลักษณ์ออกมาและยามทั้งสองต่างเคารพนอบน้อมมากกว่าเดิม หนึ่งในนั้นตามเข้าไปในเมืองด้วย
จางฮู่เผยแววอิจฉาและถามขึ้น “คนคนนั้นมีระดับฝึกตนเท่าใดถึงได้มีพลังขนาดโบกแขนเสื้อครั้งเดียวรุนแรงได้ขนาดนี้?”
หวังหลินพูดเบาๆ “ขั้นพื้นฐานลมปราณ”
เมื่อถึงตาพวกเขาเข้าไปในเมือง จางฮู่รีบหยิบหินวิญญาณระดับต่ำออกมาสองก้อน ทั้งสองจึงเข้าไปในเมืองได้
จางฮู่เคยมาที่นี่หลายครั้ง เขานำหวังหลินผ่านไปในเมืองก่อนจะจ่ายหินวิญญาณระดับกลางสองก้อนเพื่อรับห้องสำหรับพวกเขาทั้งสอง
จางฮู่ยิ้มไปที่หวังหลิน “เราไม่มีเงินเหลือมากนัก ข้าหวังว่าโสมห้าร้อยปีนี้จะขายได้ราคาดี แล้วเราจะแบ่งกำไรกันได้”
ทั้งสองพูดคุยกันอีกเล็กน้อยก่อนที่จะกลับเข้าห้องของตัวเอง
หวังหลินเข้าไปในห้องและนั่งสมาธิ หยิบกระบี่เหินของอาจารย์จางฮู่และฝักกระบี่ออกมา หลังจากมองพวกมันสักพัก สายตาหรี่แคบและโยนกระบี่เหินไปบนอากาศ หวังหลินสร้างอักขระผนึกบนฝ่ามือและชี้ไปที่กระบี่เหินเล่มนั้น แสงสีทองลอยล่องออกมาจากกระบี่ จากนั้นกระบี่เหินได้เคลื่อนไหวราวกับมันมีชีวิต พยายามจะบินออกไปข้างนอก
มันพุ่งข้ามไปครึ่งห้องแต่ดูเหมือนจะชนเข้ากับกำแพงล่องหนด้านหนึ่ง มันเปลี่ยนทิศทางและพุ่งออกไปอีกครั้งแต่ก็ถูกหยุดไว้ได้อีกรอบ หลังจากพุ่งไปหลายทิศทางกระบี่เหินเล่มนั้นก็ได้หยุดลง มันปลดปล่อยเสียงหึ่งๆพุ่งเข้าหาหวังหลินทันที
หวังหลินสีหน้าเป็นปกติพลางหยิบสมบัติช่วยชีวิตออกมาและส่งสัญลักษณ์ทองออกไป กระบี่เหินดูเหมือนจะกลัวสัญลักษณ์ทอง ดังนั้นมันจึงถอยกลับมา
หวังหลินโบกมือขวาและสัญลักษณ์ทองเริ่มหมุนวนรอบร่างหวังหลิน กระบี่เหินไม่กล้าโจมตีหวังหลินอีกครั้งและเริ่มพุ่งไปรอบห้องอย่างคึกคะนองเร็วขึ้นและเร็วมากขึ้น
หวังหลินพ่นพลังปราณออกมาจากปากใส่กระบี่ กระบี่เหินพลันหายตัวไปและปรากฏอีกครั้งด้านหน้าประตูและกำลังจะพุ่งออก
ขณะเดียวกันกระบี่เหินเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีน้ำเงินส่งเสียงดังหึ่งลดลงไปมาก
หวังหลินชี้มือขวาและสัญลักษณ์สีทองได้พุ่งเข้าหากระบี่เหินทันที
เสียงหึ่งๆของกระบี่ได้บ่งบอกว่ามันความหวาดกลัว จากพอสัญลักษณ์ทองได้เข้ามาใกล้มันก็ถอยกลับหลัง กระบี่เหินได้หายตัวไปอีกครั้งและปรากฏตัวใกล้หน้าต่าง
แสงสีกระบี่ได้เปลี่ยนจากสีน้ำเงินเป็นสีเขียว ตอนนี้กระบี่ดูเหมือนเป็นเล่มเดียวก่อนที่จะเข้ารวมกับฝักกระบี่แล้ว
หวังหลินสังเกตได้ว่าความสามารถในการเคลื่อนที่ระยะไกลของกระบี่เหินได้มีความเกี่ยวข้องกับแสงสี พอไม่มีเจ้าของแล้วดูเหมือนว่ามันจะต้องใช้พลังปราณจำนวนมากในการเคลื่อนที่ระยะไกลได้
ซือถูหนานเอ่ย “สมบัติที่มีจิตสำนึกมากเพียงนี้ ยากที่จะขัดเกลาได้ แม้จะสังหารเจ้าของไปแล้ว ยังต้องใช้ความพยายามอีกมากมายเพื่อเป็นเจ้าของมัน”
หวังหลินหรี่สายตา เขารู้ว่ากระบี่เหินนี้มีจิตสำนึกและวิชาเคลื่อนที่ระยะไกล ความยากยิ่งกว่านั้นคือการปรับแต่งมัน ยิ่งเขาต้องการมันเป็นเจ้าของเท่าไหร่ ก็ยิ่งดูเหมือนว่ากระบี่เหินเล่มนี้ก็ยิ่งต้องการหนี หวังหลินโบกแขนตัวเองและสัญลักษณ์ทองสองอันลอยออกมาป้องกันเส้นทางผ่านของกระบี่และป้องกันตำแหน่งที่กระบี่จะเคลื่อนย้ายระยะไกลอีกครั้ง ซึ่งดูเหมือนมันไม่อาจหาทางหนีได้อีกแล้ว
…………………………….