ตอนที่ 78 เมืองตระกูลเถิง
หวังหลินกำลังตรวจสอบสมบัติเซียนพลางได้ยินเสียงกระซิบจากด้านหลังดังขึ้น จึงปลดปล่อยแสงสีทองเข้าสู่กระบี่เหินและหันกลับมา จางฮู่ลืมตาขึ้นเห็นหวังหลิน นั่นทำให้เขาผวา เขามองไปรอบๆ มองกระบี่เหินและผักกระบี่ในมือหวังหลิน จางฮู๋เผยใบหน้ายินดี “เขา...ตายแล้ว?”
หวังหลินหัวเราะและพยักหน้า “ใช่แล้วจางฮู่ เจ้าพูดว่าไม่รู้จักข้ามาก่อนก็เป็นเพราะเขางั้นหรือ?”
จางฮู่รีบวิ่งไปจับชีพจรเขา หลังจากคิดชั่วครู่และพูดขึ้น “เขาตายแล้วจริงๆ หวังหลิน ที่นี่ไม่เหมาะที่จะคุยกัน ให้ข้าจัดการกับคนพวกนี้ก่อนแล้วเราค่อยคุยกัน”
เขายกมือขวาขึ้นปรากฏบอลอัคคีสามดวง
เหล่าผู้คนรอบๆต่างเต็มไปด้วยความตกตะลึง สิ่งที่พวกเขาเห็นเป็นเรื่องที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เจอในชีวิตนี้ เมื่อเห็นบอลอัคคีในมือจางฮู่ ใบหน้าแต่ละคนต่างเผยแววตาหวาดกลัว
เหล่าคนชุดคลุมดำต่างมองไปที่จางฮู่ด้วยสายตาความกลัว
หวังหลินขมวดคิ้ว ขณะที่เขากำลังจะพูด จางฮู่ก้าวออกมาโยนบอลอัคคีทั้งหมดออกไป ทว่าเป้าหมายไม่ใช่กลุ่มของหลิวซาน แต่กลับเป็นกลุ่มของชายชุดดำ
ว่ากันเรื่องความคุ้มค่าแล้ว ชีวิตของคนธรรมดาก็เหมือนกับมด ไม่มีแม้แต่ความสามารถโต้ตอบ เหล่าชายชุดดำรวมไปถึงซ่งฮาง พอปะทะกับบอลอัคคีจึงเกิดเรื่องแปลกประหลาดขึ้นคือร่างกายทั้งร่างที่ถูกไฟคลอกแต่ไม่ได้กลายเป็นขี้เถ้า มันกลายเป็นหยดเลือดสีทองและจางฮู่กลืนลงไป
กลุ่มของหลิวซานถูกย่างด้วยความร้อนจนเส้นผมไหม้เกรียมและผิวบางกรอบ แต่กลับไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหวเลยสักคน
เมื่อเห็นจางฮู่สร้างบอลอัคคีเพิ่มขึ้นอีกสามลูก หวังหลินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “จางฮู่ อย่าสังหารคนอื่นเพิ่มเลย”
จางฮู่หันศีรษะกลับมาและมองไปที่หวังหลิน จากนั้นพูดออกมา “ถ้าเราไม่สังหารคนพวกนี้ จากนั้นเมื่อพวกมันกลับไปและรายงานทุกอย่าง คนที่เจ้าสังหารไปคืออาจารย์ของข้าและเป็นศิษย์ของเฒ่าชราจื่อโม่อีกด้วย ถ้าพวกมันค้นหาสาเหตุพบและรู้เรื่องนี้ ยากมากที่เราจะหนีความตายพ้นได้”
ผู้หยั่งรู้วัยกลางคนเป็นหนึ่งคนที่ยังสงบสติได้ เขารีบพูดอย่างรวดเร็ว “เซียนทั้งสองท่าน พวกเราสัญญาว่าจะไม่เอ่ยถึง ข้า...”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ จางฮู่ขมวดคิ้วและเย้ยหยัน “สัญญาว่าจะไม่เอ่ยถึง? นั่นไม่ใช่ขึ้นอยู่กับเจ้า ตอนที่ข้าเอาวิญญาณเจ้าไปหลอม เจ้าจะเป็นคนบอกมันทุกอย่างเอง” แม้ว่าเขากำลังพูดอยู่กับชายวัยกลางคนผู้หยั่งรู้ แต่สายตาเขาก็มองไปที่หวังหลิน
หวังหลินครุ่นคิดชั่วครู่ เขาโบกมือคราหนึ่งและคนที่เหลือประมาณ 6 หรือ 7 คนได้ถูกพลังบังคับให้เคลื่อนไหวมาถึงหน้าหวังหลิน
จางฮู่ถอนบอลอัคคีออกและยืนอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ
หวังหลินหยิบเศษหยกออกมาจากระเป๋า เขาได้หยกนี้มาจากจางขวงตอนที่ออกมาแลกเปลี่ยนกับหวังเฮ่า
หวังหลินจำได้เลือนรางว่ามีวิชาเซียนที่สามารถลบความทรงจำคนทั่วไปได้ หลังจากค้นหาในหินหยกอย่างระมัดระวังเขาก็พบวิชาเซียนนั้น หวังหลินตรวจสอบอีกครั้งและวางหยกลงไป สายตาของหวังหลินมองไปที่กลุ่มคน แสงน้ำเงินได้เรืองรองขึ้น เข้าสู่สายตาพวกเขาทีละคนก่อนจะจางหายไป ทั้งหมดพลันสลบไปบนพื้น
จางฮู่ลอบถอนหายใจ เขาอ้าปากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
หลังจากหวังหลินใช้วิชาเซียนจบลง เขามองจางฮู่และเหินร่างออกไปไกล จางฮู่ถอนหายใจ พ่นพลังปราณออกมาจากปากเพื่อเอาบอลสีทองออกมา เดินขึ้นไปบนนั้น และเหาะเหินตามหลังหวังหลิน
ทั้งสองเหาะบนอากาศมาเป็นเวลานาน จางฮู่เริ่มจะหอบหายใจและร่อนลงบนยอดเขาลูกหนึ่งส่วนหวังหลินก็ร่อนลงอย่างช้าๆ
จางฮู่สงบอาการหอบลง จากนั้นเขาก็หาสถานที่นั่งพูดคุย หยิบมันหวานสองชิ้นออกมายื่นให้หวังหลิน “ข้าอบมันเอง ลองชิมดูสิ”
หวังหลินหยิบมันหวานมา เขารู้สึกเหมือนกลับไปเมื่อสิบปีก่อนที่ทั้งสองพึ่งได้เจอกัน
“ตอนที่ข้าออกมาจากสำนักเหิงยั่ว ข้าไม่ได้กลับบ้านแต่เร่ร่อนไปทั่วเพื่อเข้าร่วมสำนักฝึกเซียนแห่งอื่น ข้าโชคดีได้กินสมุนไพรบางอย่างและบรรลุขั้นรวบรวมลมปราณระดับหนึ่ง ข้าต้องขอบคุณหนังสือเล่มเล็กๆของเจ้าพังพอนเหลืองตัวนั้น หลังจากข้าพบกับไป่ซาน(白展 Bái zhǎn) เขาตัดสินใจไม่ฆ่าข้าเพราะเห็นว่าข้าอยู่ระดับแรกแต่รับข้าเป็นศิษย์แทนเพื่อช่วยเขาเก็บรวบรวมเลือดคนธรรมดา เขาวางพิษกับข้าไว้ดังนั้นข้าจึงถูกเขาควบคุมชีวิต”
“ก่อนหน้านี้ ที่ข้าไม่อยากพูดว่าข้ารู้จักเจ้าเพราะว่าเขาอยู่ใกล้ๆ แต่ข้าขอบคุณเจ้ามากที่เจ้าสังหารเขา พิษในร่างกายข้าได้สลายหายไปและข้าก็เป็นอิสระได้แล้ว” จางฮู่กัดมันหวานไปหนึ่งคำพลางอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสิบปีที่ผ่านมา
หวังหลินรู้สึกเศร้าใจมาก แม้ว่าเรื่องราวของจางฮู่จะเรียบง่ายและสั้นกระชับ เขาก็เห็นได้ว่าการกระทำของจางฮู่ในสิบปีพวกนี้เป็นเรื่องยากสำหรับเขา
จางฮู่เผยแววตาอิจฉา “หวังหลิน เราไม่เจอกันมาสิบปี เจ้ายังสามารถสังหารอาจารย์ข้าได้ เจ้าต้องบรรลุขั้นพื้นฐานลมปราณแล้วเป็นแน่ กระบี่เหินของอาจารย์ข้ามีพลังมากมายนัก เขาพูดว่าเพียงพลังสองในห้าส่วนของมันจะไม่มีใครที่ต่ำกว่าขั้นพื้นฐานลมปราณสามารถเอาชนะเขาได้”
หวังหลินส่ายหัวและพูดขึ้น “ข้ายังไม่ได้บรรลุขั้นพื้นฐานลมปราณ เจ้ารู้หรือว่ากระบี่เหินเล่มนี้มาจากที่ไหน?”
จางฮู่มองไปที่หวังหลินด้วยแววตาไม่เชื่อ แต่เขาไม่ได้ถามรายละเอียดลึกๆ พลันคิดอย่างรอบคอบก่อนจะพูดขึ้น “ข้าคิดว่าเขาเคยพูดถึงมันครั้งหนึ่ง ตอนนั้นเขาพูดว่าพบกับถ้ำแห่งหนึ่งและได้มันมาเพราะโอกาสดีมาก เขามักจะมองเห็นสมบัติดีดีอยู่เสมอ และสมบัติฝักกระบี่นั่นก็ด้วย สมบัติฝักกระบี่ของอาจารย์มีประสิทธิภาพมากกว่ากระบี่เหินหลายเท่านัก ข้าเคยได้ยินมาครั้งหนึ่งจากอาจารย์ข้าว่าแม้แต่คนที่ขั้นแกนลมปราณก็ยังไม่สามารถปรับแต่งมันให้กับตัวเองได้”
หวังหลินพบก้อนหินแห่งหนึ่งเพื่อนั่งลงไป เขาครุ่นคิดชั่วขณะจากนั้นได้ถามขึ้น “บอกข้าเรื่องผู้เฒ่าจื่อโม่เพื่อที่อย่างน้อยเรายังจะสามารถสู้เขาได้”
จางฮู่กลืนหมันหวานลงคอจากนั้นก็พูดขึ้น “ผู้เฒ่าจื่อโม่เป็นเซียนอิสระ ข้าพูดได้แค่ว่าเขาบรรลุขั้นแกนลมปราณแล้ว เขาสนใจกับชื่อเสียงตัวเองมาก ดังนั้นเมื่อจื่อโม่พบว่าไป๋ซานตายจะออกค้นหาพวกเราแน่นอน ดีที่สุดให้เจ้ากลับไปที่สำนักเหิงยั่ว ส่วนข้ายังสามารถไปซ่อนตัวที่เมืองตระกูลเถิงได้ แม้ว่าผู้เฒ่าจื่อโม่ไม่กล้าอวดดีที่นี่ ตราบใดที่ข้ายังอยู่ในเมือง ข้าก็จะปลอดภัย”
หวังหลินยิ้มขึ้น “ตอนนี้สำนักเหิงยั่วหลงเหลือแต่เพียงแค่ชื่อแล้ว”
จางฮู่จ้องมองและพูดขึ้น “ข้าเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน สี่ปีที่แล้วสำนักซวนต้าวขโมยภูเขาเหิงยั่ว แต่ข้าได้ยินมาว่าศิษย์ของสำนักเหิงยั่วได้อพยพออกไป หรือว่าเจ้าไม่ได้อพยพไปกับพวกเขา?”
หวังหลินไม่ต้องการพูดคุยเรื่องนี้และถามขึ้น “สถานที่ที่เรียกว่าเมืองตระกูลเถิงเป็นแบบไหนกัน?”
………………………..