บทที่ 106 ระดับ

ตอนที่ 106 ระดับ

นอกเหนือจากเหตุการณ์พิเศษบางอย่าง มีเพียงทางเดียวที่จะเพิ่มระดับของแคว้นที่ต่ำกว่าระดับห้าได้ก็คือการเพิ่มจำนวนของเซียนขั้นแกนลมปราณ วิญญาณแรกกำเนิด ตัดวิญญาณและแปลงวิญญาณ ตัวอย่างเช่นหากมีเซียนคนหนึ่งบรรลุบรรลุขั้นแกนลมปราณในขณะที่อยู่ในแคว้นระดับหนึ่ง เมื่อนั้นแคว้นแห่งนั้นจะเพิ่มเป็นอันดับสองโดยอัตโนมัติ

หากมีเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิด แคว้นแห่งนั้นจะเพิ่มขึ้นเป็นแคว้นระดับสาม ตามมาด้วยเซียนขั้นตัดวิญญาณเป็นแคว้นระดับสี่และเซียนขั้นแปลงวิญญาณเป็นแคว้นระดับห้า

การเพิ่มอันดับใช้โชคจำนวนมาก ยิ่งระดับสูงก็ยิ่งยากที่จะเพิ่มระดับได้ ระดับสองไประดับสามอาจจะใช้เวลาไม่กี่ร้อยปี ส่วนอันดับสามไปสี่ ห้าไปหก มีเวลาเป็นหมื่นปีก็ไม่เพียงพอ

แม้ว่ากระบวนการจะยุ่งยากแต่มันก็เป็นหนทางเดียว พอเวลาผ่านไปจนมีคนที่มีพรสวรรค์และมีโชคดีพอจนเจอเหตุการณ์บางอย่างหรือได้ช่วยผู้อื่นไว้ ในที่สุดก็มีคนที่มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดในการเพิ่มระดับของแคว้นได้เพียงพอ

ไม่สงสัยเลยว่าคนพวกนี้จะได้กลายเป็นผู้นำของแคว้นตัวเองในอนาคต

หลังจากแคว้นแห่งหนึ่งมาถึงระดับสี่ได้จะมีสิทธิ์ในการเข้าร่วมสนามรบต่างแดน ทว่าในด้านของพลังอำนาจ แคว้นเซียนระดับสี่ไม่สามารถเปรียบเทียบกับแคว้นเซียนระดับห้าได้

ช่องว่างของระดับเซียนไม่ใช่อะไรที่สามารถเสกขึ้นมาได้ ตัวอย่างเช่น ความแข็งแกร่งเกือบทั้งหมดของแคว้นระดับสี่จะอยู่ที่ขั้นตัดวิญญาณระดับปลาย หากวางพวกเขาไว้ที่แคว้นระดับห้าก็จะกลายเป็นชนชั้นสองทันทีและจะดูเหมือนเด็กน้อยบอบบางต่อหน้าเหล่าเซียนขั้นเปลี่ยนวิญญาณ

หากไม่พูดเกินจริงนัก เซียนขั้นเปลี่ยนวิญญาณเพียงคนเดียวก็สามารถกวาดล้างแคว้นระดับสี่ได้ เรื่องราวเหล่านี้ในประวัติศาสตร์เกิดขึ้นมามากกว่าหนึ่งครั้ง

ดังนั้นในความเป็นจริง หน้าที่ของแคว้นเซียนระดับสี่ในสนามรบต่างแดนจริงๆก็คือแค่ต่อสู้กับตัวสำรองของแคว้นระดับห้า

การประชันฝีมือที่แท้จริงคือการต่อสู้ของแคว้นระดับห้า

เมื่อแคว้นแห่งหนึ่งได้เข้าสู่ระดับห้า ปัญหาใหญ่อันแรกก็คือการเผชิญหน้ากับการขาดแคลนทรัพยากรและวัตถุดิบ แคว้นขนาดใหญ่ต้องจัดการรักษาเหล่าเซียนไว้ข้างตัวเองนับไม่ถ้วน หากพวกเขาไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ แคว้นแห่งนั้นจะล่มสลาย

การปล้นแคว้นระดับต่ำกว่าไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบและทรัพยากร หนทางแก้จริงๆก็คือการเพิ่มไปสู่แคว้นระดับหก

การเพิ่มจากอันดับห้าไปอันดับหกไม่ได้ง่ายเหมือนการเพิ่มระดับฝึกตนของคนเพียงคนเดียว ในการเพิ่มอันดับของแคว้นระดับสูงนั้น มีหนทางเดียวคือการเกี่ยวข้องกับสนามรบต่างแดน

สนามรบต่างแดนเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยรอยร้าวในอวกาศ มันเป็นสถานรบไร้ขอบเขตที่เต็มไปด้วยรอยร้าวและสายลมสูญญากาศซึ่งสามารถสังหารเซียนขั้นตัดวิญญาณได้ง่ายๆ

เมื่อปะทะเข้ากับสายลมสูญญากาศ อย่างน้อยหากไม่ได้อยู่ขั้นเซียนเปลี่ยนวิญญาณก็จะกลายเป็นฝุ่นทันที

นอกเหนือจากลมสูญญากาศพวกนั้น สิ่งที่อันตรายที่สุดก็คือรอยแยกอวกาศที่เกิดแบบสุ่มทั่วทุกพื้นที่ มีเพียงผู้เชี่ยวชาญจากแคว้นระดับหกเท่านั้นที่สามารถเคลื่อนไหวในสนามรบต่างแดนได้ตามใจนึก

ทุกๆหลายร้อยปี จะมีสงครามขนาดใหญ่ในสนามรบต่างแดนระหว่างแคว้นระดับสี่ด้วยกัน การต่อสู้นี้ได้รับอนุญาตและมีพันธมิตรเซียนให้ความสำคัญ

ใครก็ตามที่สามารถเอาชนะได้หนึ่งพันครั้งติดต่อกันจะทำให้แคว้นแห่งนั้นยกระดับไปเป็นอันดับหกและรับทรัพยากรณ์จำนวนมหาศาลพร้อมทั้งวิธีฝึกเซียน นอกจากนี้แคว้นที่ชนะจะสามารถส่งคนมาได้หนึ่งคนเพื่อเรียนรู้วิธีฝึกเซียนแบบพิเศษที่พันธมิตรเซียน ระดับฝึกตนของคนผู้นั้นจะสูงกว่าขั้นเปลี่ยนวิญญาณแน่นอน รางวัลที่สำคัญที่สุดที่ทำให้แคว้นระดับห้าทั้งหมดบ้าคลั่งก็คือพวกเขาจะได้รับดาวเคราะห์เป็นของตัวเองเพื่อใช้เป็นบ้านหลังใหม่

เหล่าเซียนต่างสนใจอย่างมากเรื่องพลังปราณและการสร้างสมบัติเซียนตามธรรมชาติ พูดได้ว่าพื้นฐานของการฝึกเซียนก็คือพลังปราณและวัตถุดิบ

การมีดาวเคราะห์เป็นของตัวเองคือสัญลักษณ์ของแคว้นระดับหก แต่พันธมิตรเซียนมีข้อจำกัดเรื่องคุณสมบัติที่จะเป็นแคว้นระดับหก ขั้นแรกคือการเอาชนะในสนามรบต่างแดนหนึ่งพันครั้งติดต่อกันเพื่อได้รับดาวเคราะห์เป็นของตนเอง ขั้นที่สองคือภายในระยะเวลานั้นจะต้องมีแคว้นระดับหนึ่งถึงระดับห้าหลายแห่งบนดาวเคราะห์ของแคว้นระดับหก

การต่อสู้ที่สนามรบต่างแดนเป็นหนทางเดียวของแคว้นระดับห้าที่จะได้เลื่อนขั้น กฏแห่งนี้ใช้กับทุกดาวเคราะห์เซียน โดยทั่วไปแคว้นเซียนระดับหกบนดาวเคราะห์จะไม่แทรกแทรงการต่อสู้ของแคว้นระดับห้า แต่ทุกสิ่งย่อมมีข้อยกเว้น หากแคว้นระดับหกได้ลดแคว้นระดับห้าลง เมื่อนั้นจะไม่มีทางเกิดแคว้นระดับหกบนดาวเคราะห์เดียวกัน ทว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้ยากมาก แคว้นระดับห้าหลายแห่งต่างคาดเดาว่าการเพิ่มอันดับหกไปอันดับเจ็ดคือการเพิ่มจำนวนแคว้นระดับหกบนดาวเคราะห์ดวงเดียวกัน

ในสนามรบต่างแดนที่มีความถี่จนเกิดการต่อสู้ขึ้นหลากหลายครั้งจะมีซากร่างกายและทรัพยากรจำนวนมากที่จำเป็นต้องกวาดล้าง แคว้นระดับหกจึงได้ตรากฏอันเคร่งครัดให้เข้าไปกวาดล้างสนามรบต่างแดน ซึ่งมีเพียงแคว้นระดับสามหรือต่ำกว่าที่สามารถเข้าไปกวาดล้างได้ วัตถุดิบบางอย่างยังสามารถกลายเป็นสมบัติสวรรค์ให้กับแคว้นเซียนระดับต่ำได้

สนามรบต่างแดนแบ่งไปสู่พื้นที่ของแคว้นระดับห้าจำนวนมากรวมถึงแคว้นระดับสี่ด้วยเช่นกัน

เกิดข้อโต้แย้งขึ้นมากมายไม่ว่าจะเป็นแคว้นระดับอะไรก็ตาม พอแคว้นจ้าวได้รับสิทธิ์เข้าไปกวาดล้างสนามรบต่างแดนแล้ว หุบเขาจูหมิงจึงถูกสร้างขึ้นมา

ข้างนอกหุบเขาจูหมิงได้วางค่ายกลขนาดใหญ่เอาไว้ หลายพันปีก่อนมีเซียนขั้นตัดวิญญาณได้รับคำสั่งให้มาวางค่ายกลที่นี่ภายใต้เงื่อนไขว่าไม่อนุญาตให้เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดหรือแกนลมปราณเข้าสู่หุบเขา

นี่จึงเป็นเหตุผลว่าหลังจากเถิงฮว่าหยวนพบกับหวังหลินที่อยู่ในหุบเขาจูหมิง แล้วทำไมเขาจึงไม่สามารถเข้าไปข้างในเพื่อสังหารหวังหลินได้

หุบเขาจูหมิงไม่เพียงแต่เป็นสถานที่เพื่อการต่อสู้หาสิทธิ์การกวาดล้างสนามรบต่างแดน มันยังเป็นทางเข้าทางเดียวเพื่อเข้าไปสนามรบต่างแดนในแคว้นจ้าว

นอกเหนือจากแคว้นระดับสามหรือต่ำกว่า คุณสมบัติอื่นคือคนที่เข้าไปต้องไม่สูงกว่าขั้นแกนลมปราณ

โดยปกติหลังจากได้พิจารณาคุณสมบัติแล้ว เซียนขั้นพื้นฐานลมปราณภายในหุบเขาจะถูกส่งเข้าไปโดยตรงและจะไม่สามารถออกมาได้เป็นเวลาห้าสิบปี

แน่นอนว่าเถิงฮว่าหยวนรู้เรื่องนี้เขาจึงกวาดล้างครอบครัวหวังหลินและใช้วิญญาณบังคับให้หวังหลินออกมา

ไม่เช่นนั้นหากเขาต้องการสังหารหวังหลิน เขาก็อาจจะต้องรอไปห้าสิบปี

ขณะเดียวกัน แทบทั้งหุบเขาจูหมิงรู้ได้ว่ามีมารสังหารผู้หนึ่งที่ระดับฝึกตนเกินความเข้าใจกำลังวิ่งไปรอบๆ บางคนได้สังเกตว่าเขาอยู่ขั้นแกนลมปราณแล้วและใช้วิธีการบางอย่างเพื่อเข้าหุบเขามา

หวังหลินกำลังเดินขึ้นไปทางเหนือตรงไปหุบเขาจูหมิงขณะที่มีพลังปราณพรั่งพรูออกมาจากร่างกาย จิตสังหารที่ผ่านมาสองสามวันนี้ไม่เพียงแต่ไม่ลดความต้องการฆ่าลง แต่กลับกลายเป็นเพิ่มขึ้นอย่างมาก

จิตใจเขาว่างเปล่า เขาไม่รู้ว่าสังหารไปกี่คนและไม่รู้ด้วยว่าคนที่ยังอยู่ในหุบเขาจะหน้าถอดสีและซีดเผือดแค่ไหนเมื่อเห็นเขา

ไม่กี่วันหลังจากนั้น หวังหลินก็มาถึงขอบทางใต้ของหุบเขาจูหมิง สถานที่แห่งนี้มีหน้าผาสูงชันมาก หากเขาปีนขึ้นไปก็จะเห็นหุบเขาจูหมิงได้ แน่นอนว่าภายใต้ผลลัพธ์ของผนึกค่ายกล ใครที่พยายามหนีจะถูกเคลื่อนย้ายกลับไปเมื่อสัมผัสค่ายกล

ผ่านมาไม่กี่วัน ทุกครั้งที่หวังหลินคิดถึงครอบครัว หัวใจเขาจะเจ็บปวดรวดร้าว มันเจ็บปวดเหลือเกินจนเขาอยากจะฉีกหน้าอกเปิดออกมา มันเจ็บมากจนบางครั้งเขาก็ไอออกมาเป็นเลือด

ขณะที่เวลาผ่านไป ร่างกายก็เริ่มอ่อนแอลงแต่พลังปราณในร่างกายเขายิ่งใกล้เข้าขอบเขตจวี่มากยิ่งขึ้น

หวังหลินยืนอยู่ตีนเขาพลันมองไปบนฟ้า ทันใดนั้นคุกเข่าลงโขกศีรษะกับพื้นหลายครั้ง เส้นเลือดสองสายหยดลงบนแก้มพลางคิดขึ้นในใจ ‘ท่านพ่อ ท่านแม่ ไท้จูไม่สมควรจะเป็นลูกท่านเลย….’

“อา….” เสียงถอนหายใจดังก้องในใจหวังหลิน

หวังหลินคุกเข่าอยู่นานก่อนจะลุกขึ้นยืน สายตาเขาเยือกเย็น “ท่านตื่นขึ้นเมื่อไหร่?”

ซือถูหนานพูดขึ้น “ห้าวันก่อน หวังหลินข้าได้ยินข้อความของเถิงฮว่าหยวนแล้ว ธงวิญญาณนั้นคือธงระดับวิญญาณแรกกำเนิดที่สามารถผนึกวิญญาณได้ ตราบใดที่วิญญาณเหล่านั้นไม่บุบสลาย ก็ยังมีหนทางคืนชีวิตอยู่”

หวังหลินครุ่นคิดจากนั้นพยักหน้า

“เถิงฮว่าหยวนผู้นั้นสังหารครอบครัวเจ้าเพราะว่ามันกลัวว่าเจ้าจะหนี ดังนั้นจึงบังคับเจ้าให้ปรากฏตัวออกมา หวังหลินข้าเหลือพลังชีวิตอยู่ไม่มาก มีเพียงพอให้เจ้าเคลื่อนย้ายพริบตาได้เพียงสามครั้งเท่านั้น เจ้าต้องใช้มันอย่างรอบคอบ ข้าจะไปหลับต่อแล้ว แต่ขอแนะนำให้เจ้าเข้าไปสนามรบต่างแดนนั้น เมื่อเข้าไปข้าจะฟื้นฟูได้เร็วมากขึ้น” เสียงซือถูหนานเบาลงและเบาลงจนมันหายไป

จิตใจหวังหลินแจ่มชัดขึ้นมากกว่าครั้งก่อน เขาขมวดคิ้วและพึมพำกับตัวเอง “สามครั้ง….”

.........................