ตอนที่ 105 ขอบเขตจวี่ในยุคอดีต
ณ โบราณกาล จวี่ เต๋า ฉี คือสามขอบเขตพลังปราณที่ยากจะเข้าใจ ในด้านความลึกลับ ขอบเขตจวี่เทียบไม่ได้กับขอบเขตเต๋า ในด้านความไม่แน่นอนก็เปรียบไม่ได้กับขอบเขตฉี แต่หากเคยมีเซียนขอบเขตจวี่ยุคโบราณกล่าวไว้หล่ะก็ มันเรียกได้ว่าหายนะ
แม้ขอบเขตจวี่ไม่ได้ลึกลับเท่าขอบเขตเต๋าหรือไม่แน่นอนเท่ากับขอบเขตฉี หากเทียบความน่าสะพรึงกลัวแล้ว ขอบเขตทั้งสองที่กล่าวมาเทียบไม่ได้กับขอบเขตจวี่
เหล่าเซียนที่มีขอบเขตจวี่จะมีความแข็งแกร่งมากกว่าเซียนที่อยู่ระดับเดียวกันหลายเท่าโดยไร้ข้อกังขา พลังปราณที่มีรากฐานขอบเขตจวี่โดยสมบูรณ์นั้น ผลที่ตามมาอธิบายได้คำเดียวก็คือ “น่าสะพรึงกลัว” เหล่าเซียนที่อยู่ระดับเดียวกันนั้นนับได้ว่าเซียนขอบเจตจวี่คือผู้ที่แทบจะเป็นอมตะ ทว่าจุดอ่อนของขอบเขตจวี่ช่างเห็นได้ชัดมากนั่นก็คือเซียนผู้นั้นจะไม่สามารถบรรลุขั้นตัดวิญญาณได้และขั้นวิญญาณแรกกำเนิดเป็นขีดจำกัดของขอบเขตนี้
กระนั้นเซียนขอบเขตจวี่ขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลายก็ไม่ใช่สิ่งที่เซียนขั้นสูงกว่าอย่างขั้นตัดวิญญาณอยากจะยุ่งเกี่ยว
หากเรื่องทั้งหมดนี้เป็นความจริง เมื่อนั้นขอบเขตจวี่ก็คงไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แต่แล้วในยุคโบราณได้เกิดเรื่องที่น่าพรั่นพรึงขึ้นจริงๆ เมื่อมีเซียนคนหนึ่งผ่านบททดสอบแสนยากลำบากจนบรรลุขั้นตัดวิญญาณได้และเหล่าผู้คนกลับพบว่าเขาเป็นเซียนขอบเขตจวี่
ข่าวนี้เป็นเหตุทำให้ทุกคนในโลกแห่งเซียนยุคโบราณตกตะลึงและเต็มไปด้วยความกลัว
เซียนผู้นี้อาละวาดไปทั่วโลกแห่งเซียนสามพันปี ในสามพันปีนั้นเขาราวกับเป็นราชาของเหล่าเซียน หากใครทำให้เขาไม่พอใจ ก็จะโดนกวาดล้างทั้งตระกูลและสำนัก
สามพันปีนั้นแค่พูดชื่อเขาก็ทำให้ขนหัวลุกได้แล้ว
การคงอยู่ของขอบเขตจวี่คือการฝืนกฏสวรรค์ ไม่เพียงแต่มันทำให้คนเป็นอมตะในการต่อสู้กับเซียนระดับเดียวกัน พลังปราณที่รวมกับขอบเขตจวี่สามารถทำให้วิชาเซียนยกระดับเพิ่มขึ้นอีกอย่างมหาศาล เมื่อจุดอ่อนเดียวที่ไม่สามารถบรรลุขั้นตัดวิญญาณถูกลบออกไป เมื่อใดที่เซียนขอบเขตจวี่ได้ผ่านขั้นวิญญาณแรกกำเนิดมาได้ มันถึงจะเป็นหายนะที่แท้จริง
ด้วยเหตุนี้ พอเซียนขอบเขตจวี่คนใดปรากฏตัวขึ้น เมื่อนั้นจะถูกตามล่าจากเหล่าเซียนคนอื่นๆ ขอบเขตจวี่จากยุคเซียนโบราณถูกนับได้ว่าเป็นการฝืนลิขิตสวรรค์ที่แท้จริง
หากเรียกหนทางฝึกเซียนแบบผิดมนุษย์ว่าเหมือนกับสัตว์ป่าเถื่อน พอเทียบกับขอบเขตจวี่มันเป็นได้เพียงสัตว์เชื่องๆเท่านั้น
ความจริงในยุคโบราณการศึกษาขอบเขตจวี่ไม่เคยหยุดนิ่ง แต่ท้ายที่สุดหลงเหลือแต่เพียงความเข้าใจบางส่วนเท่านั้น
โชคดี ยังมีเหลือไว้หนึ่งคนที่ดูเหมือนจะสามารถทะลวงผ่านข้อจำกัดของเซียนขั้นตัดวิญญาณมาได้ด้วยขอบเขตจวี่ หลงเหลือเหล่าเซียนขอบเขตจวี่ทั้งหมดรุ่นสุดท้ายไว้ที่ขั้นวิญญาณแรกกำเนิด
บันทึกเกือบทั้งหมดเกี่ยวกับขอบเขตจวี่ได้สูญหายไปเกือบชั่วอายุคน ปัจจุบันนี้เหล่าผู้คนไม่รู้แม้กระทั่งวิธีการเข้าถึงหรือได้รับข้อมูลพวกนี้เลย
มีเพียงหอสมุดของสำนักขนาดใหญ่ในแคว้นเซียนระดับสูงเท่านั้นถึงจะมีรายละเอียดขอบเขตจวี่อยู่บ้าง
ณ ชั่วเวลาหนึ่งในยุคโบราณ เซียนอัจฉริยะคนหนึ่งได้เกิดในแคว้นนิพพาน(古涅 Gǔ niè) เมื่ออายุได้สิบปีเขาก็ได้บรรลุขั้นแกนลมปราณและสำนักถูกกวาดล้างโดยสำนักอื่น ห้าปีต่อมาได้มีเซียนลึกลับผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น ภายในหนึ่งเดือนเขาได้สังหารเซียนนับหมื่นคนด้วยขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับต้นเท่านั้น สายโลหิตย้อมทั่วท้องฟ้า ไม่เพียงแต่เขาจะสามารถสังหารเซียนคนอื่นในระดับเท่าเทียมกันได้ง่ายๆ แต่เขายังกระทั่งได้สังหารเซียนขั้นตัดวิญญาณได้อีก ในตอนสุดท้าย สำนักดั้งเดิมและสำนักมารได้รวมตัวกันส่งเซียนขั้นเปลี่ยนวิญญาณคนหนึ่งออกมาปลิดชีวิตเขาลง
กาลก่อนนั้น แคว้นวารีกระจ่างได้ถูกทำลายย่อยยับและราชาของแคว้นได้เข้าไปในสำนักแห่งหนึ่ง สามสิบปีถัดมาเขาก็ออกมาและสังหารเซียนทุกคน ไม่ว่าจะบุรุษหรือสตรี แก่ชราหรือผู้เยาว์ เขาจะสังหารทั้งหมด ในเวลาเพียงเจ็ดวันก็ไม่มีเซียนหลงเหลืออยู่ในแคว้นวารีกระจ่าง กระทั่งสำนักตัวเองก็ไม่เหลือรอด โลหิตได้ย้อมผืนปฐพีของแคว้นวารีกระจ่างเป็นสีแดง เมื่อเซียนของแคว้นระดับสูงได้เตรียมตัวกันมาสังหารเขา เลือดในแคว้นวารีกระจ่างระเหยออก ใช้เลือดเพื่อสังหารศัตรู ราชาได้หายตัวไปท่ามกลางความโกลาหล บางคนก็เชื่อว่าเขาได้รับผลกรรมที่ทำไว้แล้ว….
จุดสำคัญที่เชื่อมโยงกันคือ เซียนที่ทุกคนกล่าวถึงนั้นเป็นขอบเขตจวี่
ส่วนวิธีการบรรลุขอบเขตจวี่นั้นไม่มีใครทราบ บางคนก็เชื่อว่าพวกเขาต้องเจอการเปลี่ยนแปลงบางอย่างและบางคนก็เชื่อว่าพวกเขามีสมบัติเซียนเหมือนกันทั้งหมด
ด้วยมรดกสืบทอดของสมบัตินั้น เมื่อมันยอมรับก็อาจจะให้เจ้าของได้เข้าถึงขอบเขตจวี่ได้
มีการคาดเดาต่างๆนาๆแต่โลกเซียนยุคโบราณกลับเริ่มเลือนหายไป รวมถึงข่าวลือทั้งหมดก็ตายจากไปด้วยเช่นกัน
ไม่มีใครรู้ว่าขณะนี้ในแคว้นเซียนระดับสามนามว่าแคว้นจ้าว แคว้นแห่งหนึ่งที่ไม่มีใครให้ความสนใจ ในสถานที่เล็กๆที่เรียกกันว่าหุบเขาจูหมิง เซียนคนหนึ่งนามว่าหวังหลินกำลังเดินเข้าไปสู่หนทางแห่งขอบเขตจวี่ที่แท้จริง
หากเถิงฮว่าหยวนรู้เรื่องทั้งหมด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเขาจะไม่เป็นคนเร่งปฏิกิริยาการกำเนิดของเซียนขอบเขตจวี่เด็ดขาด
หวังหลินคุกเข่าข้างหนึ่งบนพื้น ทุกๆสิ่งในระยะสิบเมตรได้กลายเป็นน้ำแข็ง
ลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าบนหน้าอกเปล่งประกายแสงสีดำที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มันเคลื่อนย้ายและลอยขึ้นไปเหนือศีรษะ
เถิงฮว่าหยวนใช้ความสัมพันธ์ของหวังหลินและครอบครัวของเขาเพื่อส่งข้อความเข้าไปในจิตใจ
“ข้าจะรอเจ้าข้างนอกหุบเขาจูหมิง...หากเจ้าไม่ออกมาตอนที่หุบเขาเปิด เมื่อนั้นข้าจะทำลายธงวิญญาณและวิญญาณของครอบครัวเจ้าจะหายไปตลอดกาล”
สองบุรุษและหนึ่งสตรีจากสำนักเทียนต้าววิ่งหนี ทันใดนั้นพวกเขาหยุดกึกห่างไปสิบเมตรเพราะว่าพื้นดินปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง นี่ทำให้หัวใจแต่ละคนรู้สึกอึดอัด
เด็กหนุ่มที่อยู่ใจกลางน้ำแข็งน่ากลัวอย่างยิ่ง รัศมีแห่งการทำลายล้างนั้นได้ทำให้กระทั่งเขาที่อยู่ขั้นพื้นฐานลมปราณระดับกลางขนลุก
หลังจากคิดเพียงครู่เดียว เซียนขั้นพื้นฐานลมปราณระดับกลางก็ตัดสินใจโบกแขน “ถอย!” เพียงแค่เขาต้องการจะหนี สตรีคนเดียวในกลุ่มได้จ้องมองลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าเหนือศีรษะหวังหลินและพูดขึ้น “ศิษย์พี่ใหญ่ ลูกปัดนั่นดูคล้ายๆกับ...”
บุรุษอีกคนพูดขึ้น “นี่...นี่...นี่มันลูกปัดที่ท่านบรรพชนได้เล่าให้ฟัง! เดี๋ยว ไม่สิ รอยบนลูกปัดมันต่างกัน ลูกปัดที่ท่านบรรพชนแสดงนั้นมีก้อนเมฆ แต่ลูกนี้มีใบไม้”
เซียนขั้นพื้นฐานลมปราณระดับกลางจ้องมอง เขาเข้าไปดูใกล้ขึ้นและยิ่งเคร่งเครียดขึ้นทันที ในไม่ช้าความโลภก็กลืนกินจิตใจ นอกจากลายบนลูกปัดแล้ว ทุกอย่างได้ตรงกันกับที่ท่านบรรพชนแสดงให้ดู คุณค่าของลูกปัดนี้ปรากฏขึ้นในความคิดทันที
“ใครนำไปแลกจะได้รับสมบัติขั้นเปลี่ยนวิญญาณ สำนักจะได้รับหุ่นเชิดระดับขั้นเปลี่ยนวิญญาณ และอันดับแคว้นเพิ่มขึ้นหนึ่งอันดับ”
เซียนขั้นพื้นฐานลมปราณระดับกลางพูดขึ้นอย่างเด็ดขาด “ไม่ว่ามันจะใช่หรือไม่ใช่ เราควรจะเอามันมา”
สตรีในกลุ่มหยิบหยกสื่อสารออกมาและกำลังจะส่งข้อความออกไปแต่เซียนขั้นพื้นฐานลมปราณระดับกลางได้หยุดนางไว้และกระซิบขึ้น “แม้ว่าเขาจะประหลาด แต่หากเราทั้งสามร่วมมือกัน ข้าเชื่อว่าสามารถสังหารเขาได้แน่ๆ หากเจ้าบอกคนอื่นไปว่านี่เป็นลูกปัดของจริง เมื่อนั้นความดีความชอบจะไม่ได้เป็นของเราแน่ เหมือนกัน หากเราผิดพลาดและสร้างเรื่องยุ่งยาก เราจะโดนตำหนิ เจ้าโง่หรือไง?”
หญิงสาวจ้องมอง นางลังเลเล็กน้อยจากนั้นนำหยกสื่อสารกลับไป ทั้งสามคนหยิบสมบัติเซียนออกมาใช้ทันที
เวลาเดียวกันหวังหลินก็ลืมตาขึ้น ดวงตาไม่ปรากฏรอยเลือดอีกต่อไปแล้ว มันใสสว่างราวกับน้ำ จิตสังหารไหลทะลักออกมาจากร่างกาย โคจรพลังปราณให้เคลื่อนไหว
ผลลัพธ์แรกของขอบเขตจวี่ที่แสดงให้เห็นชัดก็คือการต่อสู้กับเซียนที่อยู่ระดับเดียวกัน ขอบเขตจวี่ถือเป็นอมตะ!
เมื่อจ้องทั้งสามคน หวังหลินสะบัดแขนคราหนึ่ง แสงสีน้ำเงินกระพริบวูบวาบ น้ำแข็งบนผืนดินเคลื่อนไหวไปรอบคนทั้งสามทันที
สีหน้าและท่าทางของพวกเขาถูกหยุดไว้ก่อนจะตอบสนองอะไรได้
หวังหลินยืนขึ้น ยื่นมือขวาออกไปรับลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า หลังจากนั้นก็หยิบมันกลับไปใกล้หน้าอกและเคลื่อนที่ผ่านคนทั้งสาม
น้ำแข็งเข้าปกคลุมทั้งสามคนกลายเป็นหุ่นน้ำแข็ง มันพังทลายและทั้งสามคนก็กลายเป็นศพในทันที
หวังหลินเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบผ่านหุบเขาจูหมิงด้วยกระบี่เหิน ชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นโดยไม่เอ่ยคำพูดจา เขาชี้นิ้วไปที่หวังหลินส่งกระบี่ก็เหินพุ่งเข้าหา
หวังหลินไม่หยุดเคลื่อนไหว ขณะที่กระบี่กำลังจะแทงเข้าร่าง น้ำแข็งปรากฏด้านหน้ากระบี่ พริบตาเดียวกระบี่เหินก็ถูกแช่แข็ง
ชายหนุ่มตกใจทันทีและรีบถอยกลับ เดิมทีเขาเห็นว่าหวังหลินมาเพียงคนเดียวและอยู่ที่ขั้นพื้นฐานลมปราณระดับแรกเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงมาที่นี่เพื่อสังหารหวังหลินและขโมยสมบัติเซียน แต่เขาไม่คาดว่าหวังหลินทำลายกระบี่เขาได้
พอตื่นตระหนก ความคิดเดียวในหัวก็คือวิ่ง!
แต่ก่อนที่จะได้ก้าวเท้า ลำแสงสีเขียวสายหนึ่งแล่นผ่านไป กระบี่เล็กแทงทะลุผ่านหน้าอก ร่างกายกลายเป็นน้ำแข็งและหล่นลงกับพื้น
ตลอดเวลานี้ หวังหลินยังไม่ได้หยุดสักวินาที
หนึ่งวันผ่านไป ที่แห่งหนึ่งในหุบเขา ผู้คนจำนวนแปดคนจากสำนักมารและสำนักดั้งเดิมกำลังสู้กัน อีกด้านหนึ่งก็มีหลายคนกำลังดูอยู่เช่นเดียวกัน ขณะเดียวกันนั้นร่างหวังหลินก็เดินออกมา เขาเดินไปข้างหน้าราวกับไม่เห็นคนอื่นๆ เหล่าคนที่กำลังดูอยู่นั้น มีชายวัยกลางคนจากสำนักมารขมวดคิ้วขึ้น โยนยันต์เซียนสายฟ้าตรงไป ทันใดนั้นสายฟ้าปรากฏขึ้นบนฟากฟ้าและปะทะเข้ากับหวังหลิน เมื่อมันกำลังจะโจมตีเขา น้ำแข็งพลันปรากฏ สามารถแช่แข็งกระทั่งสิ่งของที่สัมผัสไม่ได้อย่างสายฟ้า
ฉากเหตุการณ์นี้ทำให้ทุกคนหยุดสู้กันพร้อมกับจ้องหวังหลินอย่างตกตะลึงซึ่งกำลังเดินเข้ามาหาพวกเขาโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
ในไม่นานหน้าอกของชายวัยกลางคนที่โยนยันต์เซียนพลันส่องแสงสีเขียว จากนั้นทั่วร่างกลายเป็นน้ำแข็งและเสียชีวิตทันที
ทุกคนตกตะลึง ก่อนที่จะตั้งสติได้หวังหลินก็มาถึงด้านหน้าพวกเขาเรียบร้อยแล้ว เขายืนอยู่ด้านหน้าคนสี่คน ก่อนที่ทั้งสี่นั้นจะได้พูดอะไร พวกเขาเห็นแค่แสงสีฟ้าและทั้งสี่ก็กลายเป็นน้ำแข็ง ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าของชายวัยกลางคน
ขณะเดียวกัน ทุกคนถอยออกมาด้านข้าง ศิษย์ชุดขาวคนหนึ่งคำนับฝ่ามือและพูดขึ้น “ไม่ทราบว่าสหายเซียนมาจากสำนักไหน? ข้าเป็นศิษย์จากสำนักหยวนเทียน นามว่า โจวกวน”
หวังหลินเมินเขาและก้าวเดินข้างหน้าต่อไป ทุกคนเคลื่อนไหวออกจากเส้นทางเขา ขณะที่หวังหลินเดินออกไปจากฝูงชนได้ร้อยเมตร ศิษย์ผู้เยาว์คนหนึ่งจากสำนักมารจ้องไปที่หวังหลินและเยาะเย้ยในใจ ‘เจ้าสังหารศิษย์พี่ข้า ข้าจะจำเจ้าไว้!’
หวังหลินหยุดกึกทันที เขารู้สึกจิตสังหารอันแข็งแกร่งจากด้านหลัง เขาหันกลับไปและจ้องไปที่สำนักมารอย่างเยือกเย็น
ภายใต้การจ้องของหวังหลิน ศิษย์คนนั้นรู้สึกว่าทั้งร่างกายภายในและภายนอกเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง เขารีบก้มศีรษะลงต่ำทันที ไม่กล้าจ้องมอง
เซียนทุกคนที่เห็นสายตาเขาต่างสูดหายใจเย็นเฉียบ
สายตาคู่นั้นราวกับคนที่ตายไปแล้วและเต็มไปด้วยจิตสังหาร ใครก็ตามที่เห็นสายตาเขาจะรู้สึกว่าร่างกายตัวเองหนาวสั่น
หลังจากจ้องเหล่าเซียนเล็กน้อย หวังหลินหันตัวกลับและเดินหน้าต่อไป แสงสีเขียวกระพริบขึ้นปรากฏบนหน้าอกศิษย์คนนั้น โลหิตท่วมปากและหล่นลงกับพื้น ร่างกลายเป็นน้ำแข็งทันที กระทั่งเลือดที่เขาไอออกมาก็กลายเป็นน้ำแข็งก่อนที่เขาจะกระแทกกับพื้นดิน
ไม่มีใครกล้าสูดหายใจลึก ภายหลังหวังหลินจากไปไม่มีใครต้องการต่อสู้อีก ทุกคนกระจายตัวออกไปทั้งหมด
ดังนี้หวังหลินจึงเดินผ่านมาถึงหุบเขาจูหมิง หากใครรุกรานเขา เขาก็จะแช่แข็งมันด้วยการสบัดมือคราเดียว แม้กระทั่งเซียนขั้นพื้นฐานลมปราณระดับปลายก็ไม่สามารถต่อต้านได้ หลังจากเขาสังหารไปไม่กี่คน ทั้งหมดก็วิ่งหนีหายไป
เวลาผ่านไปสามวัน จำนวนเซียนที่ตายด้วยฝีมือหวังหลินมีจำนวนนับไม่ถ้วน
.........................