ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

บทที่ 10 พิทักษ์ปะการัง

การตรวจสอบรูปปั้นเป็นไปอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับการประเมินภาพ เชเชฟสกีถ่ายรูปทุกมุมแล้วส่งให้ทางบริษัท จากนั้นเขาก็เอาโฟมทองแดงออกมา แล้วใช้เครื่องวัดคาร์บอน 14 ที่เอามาด้วยออกมาทำการวัดค่า

ผลที่ได้จากเครื่องวัดบอกว่ารูปปั้นนี้มาจากกลางศตวรรษที่ 16 พอเห็นผลแบบนี้แล้วเชเชฟสกีก็พูดออกมาด้วยความมั่นใจ “ยินดีด้วยครับคุณฉิน คุณอาจครอบครองหนึ่งในรูปปั้นที่มีมูลค่ามากที่สุดของปีเลย!”

จริงๆ แล้วเป็นเพราะเรื่องภาพเลียนแบบทานตะวัน จึงทำให้ฉินสือโอวจึงเตรียมใจไว้แล้วว่าภาพเหล่านี้คงไม่มีมูลค่าสักเท่าไร ต่อให้สุดท้ายหลังจากตรวจสอบออกมาแล้วจะพบว่าภาพวาดของปิกาโซเป็นของปลอม เขาก็สามารถเผชิญหน้าได้โดยไม่รู้สึกอะไร

แต่ตอนนี้เมื่อได้ผลออกมาแบบนี้ เขาก็ไม่สามารถทำใจสงบนิ่งได้จริงๆ รูปปั้นที่ต่อให้เขาขายเป็นเศษทองแดงก็คงได้ไม่กี่ร้อยกลับเป็นของเก่าที่มีมูลค่ามากถึง 30 ล้าน แถมยังเป็นดอลลาร์แคนาดาด้วย!

เมื่อล่วงรู้ถึงสิ่งที่เขาคิด ใบหน้าเคร่งขรึมของเชเชฟสกีก็ผุดรอยยิ้มขึ้นมา จากนั้นเขาก็พูดต่อ “ถ้ารูปปั้นเพอร์ซีอัสกับเมดูซาไม่ได้ขึ้นสนิมเพราะไม่ได้รับการดูแลรักษาดีๆ ละก็ มูลค่าอาจจะยังเพิ่มขึ้นไปได้อีกสิบล้าน คุณอาจไม่รู้ว่ารูปปั้นนี้เป็นผลงานชิ้นเอกของหนึ่งในประติมากรชื่อดังชาวอิตาลีเชลลินี่ในศตวรรษที่ 16!”

ฉินสือโอวไม่ค่อยมีความรู้ด้านนี้จริงๆ ที่เขารู้ก็คือ จู่ๆ เขาก็กลายเป็นเศรษฐีไปเสียแล้ว...

การประเมินจบลง เชเชฟสกีและคนอื่นๆ ยังไม่ได้กลับไปเพราะผู้จัดการบริษัทประมูลริชชี่ บราเธอร์สได้พาผู้เชี่ยวชาญแผนกรูปปั้นออกเดินทางมาในวันนั้นเลย และพรุ่งนี้พวกเขาก็จะเดินทางมาถึงฟาร์มปลาเพื่อทำการตรวจสอบเป็นครั้งสุดท้ายว่ารูปปั้นนี้ของจริงหรือไม่

นอกจากนี้เชเชฟสกียังบอกฉินสือโอวด้วยว่าทางบริษัทของพวกเขาอยากทำงานร่วมกับฉินสือโอว และได้สิทธิ์ประมูลรูปปั้นนี้รวมถึงเหล่าผลงานศิลปะเหล่านี้ด้วย

ฉินสือโอวลังเลเล็กน้อย แม้ว่าบริษัทประมูลริชชี่ บราเธอร์สจะมีชื่อเสียงไม่น้อย แต่จริงๆ แล้วพวกเขามีชื่อเสียงในด้านการประมูลเครื่องจักรมากกว่า ส่วนในด้านผลงานศิลปะและวัฒนธรรมนั้นพวกซัทเทบีส์ โซเธอบีน่าวางไว้ใจกว่า

เชเชฟสกีไม่ใช่นักขาย พอเขาเห็นท่าทีลำบากใจของฉินสือโอวก็แค่ยิ้มแล้วเปลี่ยนเรื่องไปคุยเกี่ยวกับภาพและรูปปั้นแทน

จากการคาดเดาของเชเชฟสกี ภาพหญิงสาวกับแทมบูรินน่าจะเป็นภาพที่พีนาร์เจียนขอซื้อจากปิกาโซผ่านเพื่อนเพื่อนำมาเรียนรู้เป็นตัวอย่าง เคยมีช่วงหนึ่งที่ฝีมือวาดภาพนามธรรมของพีนาร์เจียนพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งนั่นอาจจะเป็นเพราะได้ภาพฝีมือปิกาโซมาจึงเกิดแรงบันดาลใจก็เป็นได้

ที่เขาสงสัยก็คือฉินสือโอวเอารูปปั้นนี้มาจากไหน?

ฉินสือโอวผลักเรื่องความเป็นมาทั้งหมดไปที่คุณปู่รองผู้ลึกลับของตัวเอง เออร์บักเองก็ช่วยพูดอีกแรง “ฉินหงเต๋อเป็นผู้ชายที่น่านับถือ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เขาเคยเป็นคนรับผิดชอบกองกำลังขนส่งพันธมิตรทางทะเลในเขตนิวฟันด์แลนด์ ฉันว่านี่อาจเป็นของที่เขาได้มาในช่วงนั้น”

ฉินสือโอวงุนงงไปทันที ปู่รองของเขามีชื่อเสียงขนาดนี้เลยเหรอ?

ตกเย็นเขาก็เชิญให้พวกเชเชฟสกีทั้งสามคนอยู่กินข้าวด้วยกัน ซึ่งสถานที่ก็คือร้านอาหารคุณลุงฮิคสันนั่นเอง พวกเขาดื่มด่ำไปกับอาหารนิวฟันด์แลนด์แบบต้นตำรับ และยังได้ชิมไวน์หวานที่เลื่องลือไปทั่วโลกด้วย

ดื่มไปจนรู้สึกมึนๆ ฉินสือโอวก็กลับเข้าไปนอนที่ห้อง จากนั้นจิตสำนึกของเขาก็เดินทางไปยังท้องทะเลอีกครั้ง

โลกใต้ทะเลยังคงค่อนข้างรกร้างว่างเปล่า จิตสำนึกของเขาเดินทางไปจนถึงเรื่องผืนทรายราบเรียบใต้ทะเลที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตมาเนิ่นนานจนทำให้เขารู้สึกเศร้าขึ้นมา

อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้พื้นที่ฟาร์มปลาอันใหญ่โตซึ่งเคยอุดมสมบูรณ์กลายเป็นสุสานก้นทะเลแบบนี้ไปได้? ฉินสือโอวสาบานว่าเขาจะใช้เงินที่ได้จากการประมูลมาพัฒนาฟาร์มปลาให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งให้ได้

จิตสำนึกของเขาเริ่มเคลื่อนที่ไปยังปะการังสีชมพู ไซโฟโนฟอร์พลิ้วไหวเล็กน้อย และเขาก็สัมผัสได้ว่าพลังชีวิตของไซโฟโนฟอร์สมบูรณ์แข็งแรงดีแล้ว ฉินสือโอวจึงวางใจขึ้นมาหน่อย

และปรากฏว่าพอเขาพินิจดูปะการังอย่างละเอียดถี่ถ้วนถึงได้รับรู้ว่าสถานการณ์ของมันไม่ค่อยดีเอาเสียเลย เมื่อวานเขายังไม่ได้สังเกตว่าแท้จริงแล้วสภาพของเหล่าโพลิปนั้นแย่กว่า!

ตอนนี้ในจำนวนปะการังรอบๆ คงมีเพียงปะการังที่มีขนาดราวๆ ห้าถึงหกตารางเมตรที่อยู่ที่นี่เท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้ครึ่งหนึ่งของมันเป็นสีชมพู ส่วนอีกครึ่งก็เป็นสีเหลืองอ่อน ที่จริงบริเวณรอบนอกก็ยังมีปะการังอยู่ แต่พวกมันกลายเป็นซากปะการังหินสีขาวไปหมดแล้ว

ปะการังหินเหล่านี้เกิดมาจากการรวมตัวของซากโพลิปทั้งนั้น

ปะการังที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นยิ่งห่างไกลออกไปเท่าไรก็ยิ่งมีสีอ่อน และยิ่งไร้ซึ่งกลิ่นอายของชีวิต ถ้าดูแค่พื้นที่ตรงกลาง เหล่าปะการังก็ดูมีชีวิตชีวาดี แต่หากมองไปรอบๆ เหล่าปะการังจะมีเพียงกลิ่นอายของความตาย

พอนึกถึงตอนที่เขาช่วยไซโฟโนฟอร์ในช่วงก่อนหน้านี้ ฉินสือโอวก็เอาความสนใจไปยังหมู่ปะการังแล้วใช้พลังแห่งจิตสำนึกที่ตนเองมีอยู่ปกป้องพลังชีวิตของพวกมัน

ปาฏิหาริย์ปรากฏขึ้นทันใด ใครๆ ก็รู้ว่ากว่าการเติบโตของหมู่ปะการังจำเป็นต้องใช้เวลาเนิ่นนาน เพราะโพลิปมีขนาดเล็กมาก แม้ว่าจะมีการสืบพันธุ์อยู่เรื่อยๆ แต่มันก็มีการตายอยู่ตลอดเช่นกัน

ทว่าในตอนนี้ จู่ๆ โพลิปสีชมพูกับโพลิปสีเหลืองอ่อนก็เริ่มมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ปะการังใต้ทะเลแผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็วจนสามารถสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า ใช้เวลาแค่เพียงสองนาที ปะการังมีชีวิตที่กินพื้นที่ห้าหกตารางเมตรก็ขยายไปและกินอาณาเขตกว่าสิบตารางเมตร!

ฉินสือโอวรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาดึงจิตใต้สำนึกกลับมาก่อนจะเข้าสู้ห้วงนิทราไป

สองวันที่ผ่านมานี้ฉินสือโอวตื่นตอนหกโมงกว่าตลอด ทว่าครั้งนี้เขานอนไปจนถึงแปดโมงกว่า แถมยังตื่นเพราะกระรอกตัวน้อยเคาะหน้าต่างด้วย

ร่างกายของเขาอ่อนล้าอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ฉินสือโอวรู้สึกจนใจ ดูเหมือนว่าพลังของจิตสำนึกคงจะใช้พร่ำเพรื่อไม่ได้ ไม่งั้นชีวิตน้อยๆ ของเขาคงไม่ปลอดภัย

ฉินสือโอวเปิดหน้าต่างให้กระรอกทั้งสองเข้ามา พวกมันมองดูท่าทีเหน็ดเหนื่อยของเขาก่อนจะพากันหมุนตัววิ่งจากไป และเมื่อกลับมาอีกครั้งเหล่ากระรอกตัวน้อยก็ยื่นลูกสนมาให้เขาสองลูก

การกระทำของกระรอกน้อยทำให้ฉินสือโอวรู้สึกอบอุ่นใจ เขาอุ้มกระรอกทั้งสองเอาไว้ในมือแล้วหอมพวกมันไปมาจนได้รู้ว่ากระรอกแดงอีกตัวเป็นตัวเมีย ทันใดนั้นเขาก็ยกยิ้มขึ้นมาแล้วเอานิ้วจิ้มหัวของเสี่ยงหมิงเบาๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “บอกมาซะดีๆ แกมีความรักก่อนวัยอันควรแล้วใช่ไหม?”

เสี่ยวหมิงแลบลิ้นสีชมพูออกมาเลียนิ้วแล้วอุ้มลูกสนขึ้นมายื่นให้เขาพลางร้องจี๊ดๆ

ฉินสือโอวแกะลูกสนพลางพูดด้วยรอยยิ้ม “ติดสินบนฉันก็ไม่ได้ผลหรอกนะ เด็กขนาดนี้มีแฟนแล้วเหรอ? อยากจะยั่วโมโหฉันหรือไง? ฉันยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดแล้วยังไม่มีแฟนเลย”

กระรอกตัวเมียมองเขาเงียบๆ ฉินสือโอวนิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปาก “โอเค ต่อไปแกชื่อเสี่ยวหง เสี่ยวหมิงกับเสี่ยวหงเกิดมาคู่กัน”

ขนของกระรอกตัวเมียแดงกว่าเสี่ยวหมิงอยู่มากตามแบบฉบับของกระรอกแดงแถบอเมริกาเหนือ

เขากินข้าวเช้าพร้อมดูทีวีไปกับกระรอกทั้งสอง พอถึงตอนกลางวันทีมผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทประมูลริชชี่ บราเธอร์สก็พากันมาถึง

ฉินสือโอวถือรูปปั้นทองแดงลงไป เชเชฟสกีที่เห็นเขาถือรูปปั้นเหมือนถือถังน้ำก็เบิกตากว้างจนแทบถลน และในตอนนั้นเองชายวัยสามสิบใส่แว่นท่าทางสุขุมที่ยืนข้างเขาก็พูดออกมายิ้มๆ “คุณฉินสือโอวแรงดีจังครับ”

พอได้ยินดังนั้น ฉินสือโอวก็นึกถึงสิ่งหนึ่งที่เขาไม่ได้สังเกตในช่วงนี้ขึ้นมาทันที ดูเหมือนว่าแรงของเขาจะเยอะขึ้นมาก จริงๆ แล้วรูปปั้นนี้ก็ไม่กลวงเลย มันน่าจะหนักสักเจ็ดสิบแปดสิบกิโลได้ แต่พอเขาถือเอาไว้ในมือ เขากลับรู้สึกสบายๆ เหมือนถือของเจ็ดแปดกิโล

เขาเดาว่าเรื่องนี้ก็คงจะเกี่ยวกับหัวใจโพไซดอน

เออร์บักแนะนำว่าชายวัยกลางคนที่มีท่าทางภูมิฐานคนนี้ก็คือโรเบิร์ต เบลคที่สี่ ผู้จัดการบริษัทประมูลริชชี่ บราเธอร์ส

ก่อนหน้านี้ฉินสือโอวเคยได้ยินมาว่าเบลคมาจากครอบครัวที่มีชื่อเสียงฝั่งตะวันออกของแคนาดา พวกเขาคุมบริเนลกรุ๊ปซึ่งเป็นหนึ่งในแปดธุรกิจทางการเงินขนาดใหญ่ที่มีอิทธิพลมหาศาลของแคนาดา

“เรียกผมว่าเบลคก็ได้ครับ เพื่อนผมก็เรียกผมว่าเบลคทั้งนั้น” โรเบิร์ต เบลคที่สี่ยื่นมือออกมา ในขณะที่จับมือกันเขาก็พูดยิ้มๆ ว่า “คุณฉินนี่เป็นคนอายุน้อยที่มีความสามารถนะครับ ตอนนี้ก็ดูแลฟาร์มปลาที่ใหญ่ขนาดนี้ได้แล้ว ตอนที่ผมอายุเท่าคุณผมยังใช้เงินพ่อแม่จีบสาวๆ สวยๆ อยู่เลย”

เพียงไม่กี่ประโยคเบลคก็กระชับระยะห่างกับฉินสือโอวเข้ามาใกล้กันมากขึ้นได้แล้ว

ฉินสือโอวชงกาแฟให้ทุกคน จากนั้นเบลคก็รั้งตัวเขาเอาไว้แล้วเริ่มพูดคุยกัน เริ่มจากพระราชวังต้องห้ามกับกำแพงเมืองจีน พอรู้ว่าบ้านเกิดเขาคือมณฑลซานตง เจ้าตัวก็เริ่มพูดถึงขงจือ เม่งจือ แล้วก็ปรัชญาหรูเจีย

ไม่เสียทีที่เป็นผู้จัดการบริษัทประมูล เบลคเป็นคนมีทักษะในการสนทนามาก เขามักจะแสดงออกว่ามีความรู้เพียงผิวเผินในหัวข้อที่พูดถึงแล้วให้ฉินสือโอวเล่าให้ฟังเป็นหลัก จากนั้นแค่ไม่กี่ประโยคก็ทำเอาฉินสือโอวตัวลอย

เออร์บักนั่งยิ้มอยู่ข้างๆ โดยไม่ปริปากพูดอะไรออกมา นี่เป็นโอกาสที่ฉินสือโอวจะได้เติบโต ให้เขาได้มีโอกาสลิ้มรสกลยุทธ์ของนายทุนจากสังคมชั้นสูงบ้าง

ใบประเมินใบสุดท้ายออกมาแล้ว เบลคอ่านเสร็จแล้วก็ยื่นให้ฉินสือโอว รูปปั้นนั้นเป็นของจริงจริงๆ ด้วย

ฉินสือโอวยังคงมีข้อสงสัยจึงเอ่ยถาม “เมื่อวานผมไปหาในเน็ตมา รูปปั้นเพอร์ซีอัสกับเมดูซาเหมือนจะอยู่ที่จัตุรัสไมเคิลแองเจลโล เมืองฟลอเรนซ์ไม่ใช่เหรอครับ? ทำไมตรงนี้ยังมีอีกอันล่ะ?”

เบลคพูดยิ้มๆ “ไม่ใช่ๆ ๆ เพื่อน นั่นมันของปลอม เป็นของเลียนแบบ ต้องบอกคุณเอาไว้เลยว่ารูปปั้นนี้เป็นรูปปั้นที่ประติมากรเชลลินี่ตามคำขอของดยุคคอสซีโมในปี 1545 แล้วอีกสองศตวรรษถัดมามันก็หายไป หลังจากนั้นในแถบยุโรปก็มีคนที่อ้างตัวว่าเคยเห็นมัน แต่ก็ไม่เคยมีใครเอามันออกมาให้คนเห็นได้จริงๆ และตอนนี้คุณก็ทำได้แล้ว”

ฉินสือโอวรีบพูดย้ำไปมาว่าตัวเองเพียงแค่โชคดีเท่านั้น คนรอบข้างแถวนั้นก็ไม่ได้ตกใจอะไร พวกเขาเจอของประมูลมาเยอะ และรู้ว่ามีหลายคนที่โชคดีกว่านี้อีก

เบลคกระแอมไอเบาๆ ฉินสือโอวรู้ว่ากำลังจะเข้าประเด็นสำคัญกันแล้ว เขาจึงรีบนั่งหลังตรงเตรียมตัวจะปฏิเสธข้อเสนอของบริษัทประมูลริชชี่ บราเธอร์ส

ผลงานศิลปะที่มีมูลค่าขนาดนี้ ยังไงบริษัทระดับซัทเทบีส์ก็ประมูลได้ดีกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย

“คุณฉิน คุณก็รู้ดีว่าบริษัทเราเน้นประมูลเครื่องจักรกล ส่วนผลงานด้านการประมูลงานศิลปะนั้นถือว่าธรรมดา แต่ตอนต้นปีคณะกรรมการของเราตัดสินใจเป็นเอกฉันท์ว่าบริษัทเราจะเบนไปในสายงานศิลปะ ฉะนั้นผมหวังว่าบริษัทเราจะได้รับเกียรติในการจัดการประมูลให้กับคุณ”

“ผมรู้ว่าซัทเทบีส์ กับโซเธอบีเหมาะสมที่จะประมูลงานศิลปะพวกนี้มากกว่า แต่ตอนนี้ห่างจากงานประมูลฤดูใบไม้ผลิไม่ถึงสองอาทิตย์ คุณคงรู้ดีว่ามูลค่าของงานศิลปะจะสูงไปตามทุนที่ลงในการโปรโมท ผมว่าถ้าตอนนี้คุณส่งไปเข้าร่วมงานประมูลฤดูใบไม้ผลิก็คงประมูลได้ราคาไม่ดีเท่าไร”

“ถ้าบริษัทเราได้สิทธิ์ในการประมูล ผมรับรองกับคุณเลยว่าเราจะโปรโมทงานศิลปะพวกนี้ให้อย่างสุดความสามารถ รวมถึงภาพของพีนาร์เจียนด้วย”

“นอกจากนี้ ค่าคอมมิชชั่นจากการประมูลงานศิลปะตามปกติคือ 12% ถ้าคุณยินดีให้เราประมูล เรายินดีลดค่าคอมมิชชั่นเหลือ 5% อีกอย่างผมคิดว่าตอนนี้คุณอาจต้องการเงินมาหมุนในกิจการฟาร์มปลาอย่างเร่งด่วน ดังนั้นบริษัทเรายินดีจ่ายเงินให้คุณล่วงหน้าเป็นเงินสดจำนวน 10 ล้านดอลลาร์แคนาดา!”

ฉินสือโอวนิ่งไปครู่หนึ่ง ดีล!

.....................................................