ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

บทที่ 9 ข่าวสามเรื่อง

ฉินสือโอวยังคงตื่นนอนตอนหกโมงครึ่งเช่นเดิม เมื่อวานเขาแวะซื้อข้าวระหว่างทางนิดหน่อยตอนที่เขาออกมาจากร้านอาหารคุณลุงฮิคสัน เช้านี้เขาก็เลยทำข้าวต้มปลาขึ้นมา

ความหอมของข้าวและกลิ่นปลาสดจากธรรมชาติผสมผสานเข้าด้วยกัน เม็ดข้าวสีขาวราวหิมะและเนื้อปลาใสยิ่งเสริมให้มันทั้งหอมทั้งน่ากิน

ในตอนที่ฉินสือโอวกำลังกินอาหารเช้าอย่างมีความสุขอยู่นั้น หน้าต่างห้องนอนของเขาก็มีเสียงเคาะก๊อกๆ ดังขึ้นมา พอเขาเปิดหน้าต่างออกไปกระรอกแดงเสี่ยวหมิงก็กระโดดเข้ามา อุ้งมือน้อยยกขึ้นมาที่ระดับอกพลางเงยหน้าใช้ดวงตาดำขลับจ้องมองเขาอย่างเดียงสาขณะที่ลิ้นน้อยๆ เลียปากไปมา

“แกนี่ติดใจสลัดผลไม้ของฉันเหรอ?” ฉินสือโอวยิ้มออกมา เขาวางชามลงแล้วใช้ตะเกียบคีบบลูเบอร์รีกับองุ่นดำมาผสมกับน้ำเชื่อมและน้ำสลัดในชามใบน้อย จากนั้นก็วางมันลงไว้บนโต๊ะ

เขาหยิบบลูเบอร์รีขึ้นมาผลหนึ่งก่อนจะเคาะโต๊ะแล้วพูดขึ้น “เสี่ยวหมิง ขึ้นมานี่”

กระรอกน้อยไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า มันกระโดดโลดเต้นไปมาบนพื้นพลางยื่นอุ้งมือออกมาพร้อมร้องเสียงแหลม

ฉินสือโอวเรียกอีกครั้งหนึ่ง กระรอกน้อยก็กะพริบตาคู่ดำปริบๆ ก่อนจะปีนขึ้นไปตามขาโต๊ะแล้วมุ่งไปยังจุดที่ฉินสือโอวชี้

ฉินสือโอวแอบตกใจไปกับความฉลาดของเจ้ากระรอกน้อย เขาให้บลูเบอร์รีกับมันหลายรอบ ดังนั้นเมื่อเขาเรียกชื่อ ‘เสี่ยวหมิง’ เจ้ากระรอกน้อยก็จะวิ่งมาตรงหน้าเขาอย่างดีอกดีใจ

“โห ฉลาดกว่าหมาที่ฉันเลี้ยงไว้อีก” ฉินสือโอวพูดพลางถอนใจ ขณะที่เขากำลังชื่นชมมันอยู่นั้น กระรอกน้อยก็กินอิ่มแล้วสะบัดหางวิ่งหายไป

แต่พักเดียวเท่านั้นกระรอกน้อยเสี่ยวหมิงก็วิ่งกระโดดโลดเต้นกลับมาพร้อมกับกระรอกแดงที่ตัวใหญ่กว่ามันเล็กน้อยอีกตัว

ฉินสือโอวหัวเราะออกมา เจ้านี่เห็นบ้านเขาเป็นโรงทานซะแล้ว มีการเรียกเพื่อนมากินข้าวด้วย

แต่กระรอกทั้งสองไม่ได้เข้าไปกินอาหารในทันที เสี่ยวหมิงพากระรอกตัวใหม่กระโดดไปตรงหน้าของฉินสือโอวแล้วยื่นอุ้งมือไปข้างหน้า ทั้งสองต่างยื่นลูกสนลูกโตสองลูกให้เขา นี่รู้จักเอาของขวัญมาให้ด้วยเหรอเนี่ย

นี่น่าจะเป็นอาหารที่กระรอกกักตุนไว้สำหรับฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิในแคนาดามาถึงช้า กระรอกจะหาอาหารไม่ได้ไปจนถึงเดือนเมษายน ของขวัญชิ้นนี้จึงถือเป็นของที่มีค่ามากสำหรับพวกมัน

ลูกสนทั้งสองนั้นลูกอุดมสมบูรณ์มาก ฉินสือโอวรับพวกมันมาไว้ในมือ เสี่ยวหมิงจึงกระโดดขึ้นมาอย่างดีใจ ส่วนกระรอกอีกตัวก็หมอบอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทีระแวดระวัง

เสี่ยวหมิงปีนขึ้นมาบนโต๊ะอาหารแล้วร้องจี๊ดๆ ส่วนกระรอกอีกตัวก็มองไปทางฉินสือโอวแล้วปีนขึ้นมาบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง

ฉินสือโอววางลูกสนลง เสี่ยวหมิงจึงกระโดดมาคว้าไว้ลูกหนึ่งแล้วยื่นไปตรงหน้าเขาอีกครั้งเป็นการบอกใบ้ให้เขากินลงไป

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวได้แต่แกะเปลืองมันออกมาเม็ดหนึ่งแล้วโยนเข้าปาก ปรากฏว่าลูกสนก็มีรสหวานดี มันหวานกว่าน้ำเชื่อมที่เขาใช้ราดผลไม้ซะอีก รสชาติของมันดีมาก พวกลูกสนคั่วที่ขายในประเทศจีนยังเทียบกับพวกนี้ไม่ได้เลย

พอเห็นเขากินไปสองชิ้น เสี่ยวหมิงก็ดีใจขึ้นมาพลางกระโดดโลดเต้นไปรอบจานผลไม้

ฉินสือโอวยื่นบลูเบอร์รีไปให้ ครั้งนี้มันไม่ได้กิน แต่ยกให้กับกระรอกอีกตัว

กระรอกทั้งสองถูกฉินสือโอวพากลับเข้าไปดูทีวีในห้องนอน เสี่ยวหมิงดูสนอกสนใจกับภาพในจอ พอฉินสือโอวยิ้มมันก็กระโดดไปมา ในขณะที่กระรอกอีกตัวก็กอดองุ่นดำงีบหลับอยู่บนไหล่ของฉินสือโอว

เสียงมือถือดังขึ้นมาพร้อมเสียงเออร์บักที่ดังขึ้น เขาบอกว่าอีกสักพักเขากับเพื่อนจากบริษัทประมูลริชชี่ บราเธอร์สก็จะถึงแล้ว

ไม่นาน รถบีเอ็ม 750Li ก็แล่นเข้ามาในฟาร์มปลา เออร์บักลงจากรถโดยมีคนตามมาอีกสามคน คนหนึ่งเป็นชายมีอายุที่หัวล้านครึ่งหัวและมีท่าทางกระตือรือร้น นอกจากนี้ยังมีชายวัยกลางคนผิวขาวผมทองสองคนในชุดสูทและรองเท้าหนังตามมาด้วย

เออร์บักแนะนำชายมีอายุให้ฉินสือโอวรู้จัก “นี่คือเพื่อนรักฉัน คุณเชเชฟสกี ผู้กำกับศิลป์ของบริษัทประมูลริชชี่ บราเธอร์สจากรัฐออนแทริโอ สองคนนี้คือเพื่อนร่วมงานของเขาและเป็นนักประเมินราคาของบริษัทด้วยเหมือนกัน”

ชายในชุดสูททั้งสองแนะนำตัวพอเป็นพิธี คนหนึ่งชื่อเคลวิน เชี่ยวชาญในด้านภาพสเก็ตช์ อีกคนชื่อว่าพีทรัสซึ่งเชี่ยวชาญภาพสีน้ำมันมากกว่า

ฉินสือโอวนำภาพทั้งสามสิบภาพออกมาวางเรียงกัน ทั้งสามคนสวมถุงมือและหยิบแว่นขยายออกมา อีกทั้งยังหยิบเครื่องบางอย่างที่สามารถใช้สแกนภาพได้หลังจากต่อเข้ากับแล็ปท็อปออกมาด้วย

เออร์บักเป็นคนแนะนำบริษัทริชชี่ให้ฉินสือโอว แม้ว่ามันจะเทียบกับบริษัทแนวหน้าของโลกอย่างซัทเทบีส์ คริสตีส์ ฟิลลิปส์ โซเธอบีไม่ติด แต่ที่แคนาดาบริษัทนี้ก็ถือว่าดังอยู่พอตัว

บริษัทประมูลริชชี่ บราเธอร์สตั้งขึ้นในปี 1958 ที่เมืองเคโลวนา รัฐบริติชโคลัมเบีย ตอนนี้สำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองแวนคูเวอร์ รัฐบริติชโคลัมเบียและมีสาขามากกว่า 110 แห่งทั่วโลก มีพนักงานประจำกว่า 1160 คน ในวงการประมูลของแคนาดาพวกเขาคือแนวหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย

เชเชฟสกีเป็นคนจริงจังเคร่งขรึม หลังจากได้เห็นภาพเขาก็ขมวดคิ้วแล้วหันไปปรึกษาหารือกับลูกน้องทั้งสอง

สามนักประเมินราคาดูภาพของพีนาร์เจียนก่อน พวกเขาศึกษาแต่ละภาพอย่างละเอียด หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง เชเชฟสกีก็เดินมาหยุดอยู่ด้านข้างฉินสือโอวแล้วนั่งลงก่อนจะเอ่ยปาก “สวัสดีครับคุณฉิน จากที่เราศึกษาแล้ว ภาพฝีมือพีนาร์เจียนล้วนเป็นของจริงทั้งหมด”

ฉินสือโอวงุนงง ของจริงกับของปลอมต่างกันยังไงล่ะ? หรือว่าพีนาร์เจียนเป็นจิตรกร? ก่อนหน้านี้เขาหาข้อมูลจากในเน็ตมาแล้วก็ไม่มีข้อมูลของคนคนนี้นี่นา

เชเชฟสกีคลายความสงสัยให้กับเขา “อาเธอร์ พีนาร์เจียนเป็นจิตรกรและนักวาดการ์ตูนชาวอเมริกันเชื้อสายอาร์เมเนีย เกิดเมื่อปี 1914 พ่อแม่รอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวอาร์เมเนียแล้วย้ายมาที่อเมริกา เขาเรียนวาดภาพเองตั้งแต่เด็กๆ ”

“เหมือนกับศิลปินชื่อดังหลายคน พีนาร์เจียนมีชีวิตที่ยากลำบาก เขาได้แต่วาดภาพให้บริษัทการ์ตูนเพื่อเลี้ยงชีพ จากนั้นก็เสียชีวิตในปี 1999 หลังจากที่เขาเสียชีวิตไปได้หนึ่งปี งานศิลป์ของเขาถึงได้ถูกค้นพบ ความรอบรู้ในด้านภาพเหมือน ภาพภูมิทัศน์ จิตรกรรมนามธรรมของเขานั้นลึกซึ้งมาก โดยเฉพาะจิตรกรรมนามธรรมที่แสดงพลังอารมณ์จะได้รับการยอมรับว่ามีคุณค่าทางศิลปะสูงมาก”

เชเชฟสกีอธิบายคร่าวๆ ฉินสือโอวได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยปากถามอย่างดีใจ “ภาพของพีนาร์เจียนมีค่าขนาดนั้นเลยเหรอ?”

เชเชฟสกีที่ได้ยินดังนั้นจึงยิ้มบางๆ ก่อนจะตอบออกไป “ใช่ครับ ผลงานภาพส่วนหนึ่งของพีนาร์เจียนในตอนนี้ก็ค่อนข้างมีราคา แต่ก็แค่ภาพจำพวกจิตรกรรมนามธรรมเท่านั้น และถึงคุณจะมีภาพจิตรกรรมนามธรรมถึงสี่รูป แต่น่าเสียดายที่มันเป็นผลงานชิ้นแรกๆ ของเขาก็เลยไม่มีราคามากเท่าไร”

ฉินสือโอวเริ่มรู้สึกจนใจ คนคนนี้จะพูดให้มันตรงไปตรงมาหน่อยก็ไม่ได้ อารมณ์เดี๋ยวดีใจเดี๋ยวผิดหวังแบบนี้มันไม่สบายเอาซะเลย ดังนั้นเขาจึงถามออกไปตรงๆ “คุณคิดว่าภาพที่ผมมีตรงนี้มีมูลค่าเท่าไร?”

เชเชฟสกีนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยปาก “ถ้าภาพพีนาร์เจียนพวกนี้แยกกันขายล่ะก็ คงจะได้สักประมาณ 2 ล้านถึง 2.2 ล้านดอลลาร์แคนาดา ถ้าขายรวมกันก็อาจจะอยู่ที่ประมาณ 1.5 ล้านดอลลาร์แคนาดา”

เออร์บักถามขึ้น “ทำไมราคาถึงต่างกันเยอะขนาดนี้ล่ะ?”

แต่ฉินสือโอวกลับยังรู้สึกพอใจ อย่างน้อยก็พอค่าภาษีรับรองพินัยกรรม ฟาร์มปลาแห่งนี้จะได้เป็นของเขาเสียที

เชเชฟสกีพูดอธิบาย “ของยิ่งหายากยิ่งแพง ถ้าภาพสามสิบภาพนี้ขายทอดตลาดในเวลาเดียวกันก็จะลดมูลค่าของภาพลง แต่ถ้าแยกขาย ไม่แยกประมูลก็จะไม่ต้องห่วงเรื่องนี้”

“ทำไมถึงแยกประมูลไม่ได้ล่ะ?” เออร์บักถาม

เชเชฟสกีก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าวก่อนจะอธิบาย “เพราะคนที่ชื่นชอบภาพของพีนาร์เจียนคือพวกจิตรกรไม่ใช่นักสะสม และจิตรกรก็จะไม่มาเข้าร่วมงานประมูลหรอก พวกเขาไม่มีเงินไปสู้กับพวกนักธุรกิจรายใหญ่ แต่ถ้าเอาภาพพวกนี้ไปแยกประมูล พวกนักสะสมก็ไม่สนใจภาพที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงหรอก มีแต่จะเอาไปประมูลพร้อมกันถึงจะขายได้”

พอเห็นเพื่อนรักผิดหวังเขาจึงพูดปลอบใจ “ภาพเลียนแบบทานตะวันของพีนาร์เจียนอาจจะพอแยกประมูลได้ เราประเมินแล้วว่าน่าจะได้สามแสนดอลลาร์แคนาดา ราคาคงไม่ต่ำเกินไป”

ในขณะเดียวกันนั้นเชเชฟสกีก็อธิบายให้ฉินสือโอวฟังว่าทำไมรูปทานตะวันนั้นถึงดูก็รู้ว่าเป็นผลงานลอกเลียนแบบ นั่นเป็นเพราะทุกคนรู้ดีว่าแวนโก๊ะเป็นคนเนเธอร์แลนด์ ตัวอักษรที่เขาใช้จึงเป็นอักษรเนเธอร์แลนด์

ภาษาเนเธอร์แลนด์มีพยัญชนะคล้ายกับภาษาอังกฤษ แต่ไม่มีอักษร ‘คิว เอ็กซ์ วาย’ สามตัวนี้ ทว่าบนภาพทานตะวันนั้นมีประโยคหนึ่งซึ่งในประโยค ‘แด่ชีวิตอันน่าสับสนของฉัน’ ก็มีตัวอักษรเอ็กซ์และวายอยู่ด้วย ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่ของจริงอย่างแน่นอน

ฉินสือโอวนับว่าพอใจกับผลลัพธ์แบบนี้ สิ่งที่เขาต้องการอย่างเร่งด่วนในตอนนี้ก็คือเงินค่าภาษีรับรองพินัยกรรม หลังจากประมูลภาพพวกนี้แล้วเขาก็จะสามารถแก้ปัญหาเร่งด่วนนี้ได้ ส่วนจำนวนเงินที่มากกว่านี้ ฉินสือโอวก็ยังไม่ได้เร่งรีบ เขามีทะเลที่เขาจะทำอะไรก็ได้ และการค้นพบขุมทรัพย์ที่แท้จริงก็เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว

ประเด็นสำคัญที่เหลือก็คือการประเมินภาพหญิงสาวกับแทมบูรินของปิกาโซว่ามันเป็นของจริงหรือเปล่า

เชเชฟสกีบอกกับทั้งสองว่าการประเมินภาพของปิกาโซค่อนข้างเสียเวลาและต้องใช้เวลาอย่างต่ำสองชั่วโมง เพราะพวกเขาจะต้องติดต่อไปหานักวิชาการแผนกภาพมีชื่อเสียงนานาชาติเพื่อปรึกษากันเสียก่อน

ฉินสือโอวรอไปได้สักพักก็เบื่อจึงวิ่งขึ้นไปดูทีวีกับกระรอกทั้งสองบนห้องนอนชั้นบน

เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัวจนล่วงเลยมาถึงตอนสิบเอ็ดโมงเชเชฟสกีก็เคาะประตูแล้วเดินเข้ามาในห้อง พอเข้ามาเขาก็ถูกรูปปั้นทองสัมฤทธิ์ที่วางตกแต่งอยู่บนระเบียงดึงดูดความสนใจไปจึงได้สาวเท้าเร็วๆ เข้าไปพินิจดูอย่างละเอียด

รูปปั้นนั้นถูกงมขึ้นมาจากทะเลสาบเฉินเป่าพร้อมกับภาพพวกนั้น ฉินสือโอวรู้สึกว่ารูปปั้นนี้สนิมเขรอะหมดแล้ว มันคงจะไม่มีมูลค่าอะไร

เชเชฟสกีเดินวนรอบรูปปั้นหลายรอบอยู่นานสองนานกว่าจะหันมาแล้วพูดพลางขมวดคิ้ว “คุณฉิน ตอนนี้มีข่าวดีหนึ่งข่าว และข่าวร้ายกับข่าวที่ไม่ค่อยแน่ใจอีกหนึ่งข่าว คุณอยากฟังข่าวไหนก่อน?”

ฉินสือโอวตะโกนบ่นในใจ นี่ปู่จะเล่นตลกอะไรกับผมอีกเนี่ย? เราไม่ได้กำลังถ่ายหนังอยู่ซะหน่อย คุณมีอะไรก็บอกมาตรงๆ เลยสิ นี่ยังจะมีข่าวดีข่าวร้ายข่าวไม่แน่ใจอยากฟังอันไหนก่อนอีกเหรอ?

แต่ในเมื่อเขามาช่วยแล้ว ฉินสือโอวจึงต้องรักษามารยาทแล้วพูดออกไป “แล้วแต่คุณเลยครับ”

เชเชฟสกีพยักหน้าก่อนจะพูดต่อ “งั้นเริ่มจากข่าวดีก่อน ภาพหญิงสาวกับแทมบูรินเป็นภาพฝีมือปิกาโซจริง จากการประเมินคาร์บอน 14 แสดงให้เห็นว่าภาพนั้นน่าจะถูกวาดในปี 1939”

“ข่าวร้ายคือภาพนี้ถูกวาดในช่วงที่ปิกาโซมีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นมันน่าจะเป็นภาพที่เขาวาดขึ้นตามอารมณ์ มูลค่าจึงไม่สูงเท่าไร อาจจะแพงกว่ารูปวาดเลียนแบบทานตะวันของพีนาร์เจียนแค่เล็กน้อยเท่านั้น”

“นอกจากนี้ยังมีข่าวที่ผมไม่ค่อยแน่ใจอีกอย่าง รูปปั้นเพอร์ซีอัสกับเมดูซาของคุณอันนี้อาจจะเป็นของจริง ผมจะเชิญเพื่อนร่วมงานมาทำการประเมินดูทันที ถ้าเป็นของจริง ผมคิดว่ามูลค่าขั้นต่ำน่าจะอยู่ที่ 30 ล้านดอลลาร์แคนาดา!”

......................................................