ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

บทที่ 12 งานหนักล้นมือ

หลังจัดการทุกอย่างเสร็จสรรพแล้ว ฉินสือโอวก็เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตล็อกอินเข้าQQ พอเปิดเข้ามาเท่านั้นก็มีแชทต่างๆ เด้งขึ้นมามากมาย

เขาเปิดดูแชทเหล่านั้นแล้วพบว่าพวกมันล้วนเป็นเพื่อนในมหาวิทยาลัยที่ทักทายเข้ามา ส่วนมากก็ถามเกี่ยวกับเรื่องที่เขาเดินทางมาแคนาดานั่นแหละ

หลังจากไล่ตอบแชททั้งหลายเสร็จแล้วเขาก็เปิดกรุ๊ปแชทเพื่อนในมหาวิทยาลัยดู ในนั้นกำลังพูดคุยกันอย่างออกรส แต่หัวข้อหลักในเรื่องที่คุยกันนั่นก็คือเขาเอง

หัวหน้าห้องจงต้าจวิ้น “เฮ้ย ท่าทางโง่ๆ อย่างไอ้ฉินโซ่ว คงไม่ใช่ถูกหลอกไปขายที่แคนาดาหรอกนะ?”

หม่าจิน “ก็เป็นไปได้นะ ฉันเคยดูดวงให้ไอ้ฉินโซ่ว ไม่มีแววว่าหมอนั่นจะมีญาติอยู่ต่างประเทศเลย แถมยังทิ้งฟาร์มปลาไว้ให้หมอนั่นอีก?”

เฉินเหล่ย “ฉันก็มีฟาร์มปลาเถอะ บ้านฉันก็เปิดฟาร์มปลาเหมือนกัน”

ซ่งจวิ้นเหมย “พี่เหล่ย บ้านพี่นั่นเค้าเรียกบ่อปลา มันคนละเรื่องกับฟาร์มปลาเลยนะ!”

เฉินเจี้ยนหนาน “อีกหน่อยคงต้องไปพึ่งบารมีเสี่ยใหญ่หน่อยแล้ว ไอ้ฉินโซ่วตอนนี้ไม่ใช่เล่นๆ นา!”

เหยียนเฟย “ตกปลาที่นิวฟันด์แลนด์ ดื่มน้ำทะเลสาบไบคาล ฉินโซ่วนี่เป็นไอดอลของคนรุ่นเราเลยนะเนี่ย”

ฉินสือโอวอ่านข้อความพวกนี้แล้วก็รู้ได้ทันทีว่าเหมาเหว่ยหลงคงจะเอาเรื่องของเขาไปเล่าให้คนให้ห้องฟังแน่นอน ก็เข้าใจได้ล่ะนะ ความปากสว่างของหมอนี่เป็นที่เลื่องลือที่สุดในรุ่นเลยทีเดียว

ว่าแล้วเหมาเหว่ยหลงก็ทักมาพอดี “เฮ้ย! **ออนไลน์แล้ว”

ไอ้บ้าเหมาเหว่ยหลงตาดีจริงๆ ฉินสือโอวแอบด่าในใจแล้วรีบแสดงตัว “ว่าไงพี่น้องทั้งหลาย กระผมฉินฮั่นซันมาแล้วครับ”

เหมาเหว่ยหลง “ไง ฉินโซ่ว แกยังมีชีวิตอยู่เหรอ ดีจริงๆ ”

เฉินเหล่ย “ไอ้นี่ พี่ฉินโซ่วต้องมีชีวิตอยู่สิ แถมเขายังมีชีวิตที่ดีเลยล่ะ ใช่ไหมพี่**”

เจ้าเหิง “ขอคำนับคารวะพี่ฉินโซ่ว วี587!”

เฉินเจี้ยนหนาน “พี่ฉินโซ่ว พี่อยู่เมืองอะไรของแคนาดาเหรอ? ช่วยไป เอ็นบีเอ แล้วขอลายเซ็นคนดังสักคนมาให้ผมหน่อยได้ไหม?”

ฉินสือโอวรู้สึกตัวเองกลายเป็นหัวข้อหลักในการสนทนาไปแล้ว พอเขาปรากฏตัวในแชทกลุ่มก็เริ่มเดือดพล่านขึ้นมาทันที จากนั้นก็เริ่มมีทั้งการพูดหยอกล้อทุกรูปแบบ แม้แต่หม่าจินเองก็เริ่มส่งอิโมจิหน้าต่างๆ มาร่วมวงด้วย

คอมพิวเตอร์ตั้งอยู่ในห้องนอนของฉินสือโอว เสี่ยวหมิงกระรอกตัวน้อยมุดเข้ามาจากทางหน้าต่าง จากนั้นมันก็เดินมาตามเก้าอี้แล้วก็ปีนขึ้นมาหยุดอยู่ที่ไหล่ของฉินสือโอวก่อนจะเริ่มเลียอุ้งเท้าเล่น

ฉินสือโอววุ่นอยู่กับการตอบแชทของเพื่อนร่วมชั้นจนไม่มีเวลาไปเล่นกับเจ้ากระรอกน้อย แต่ทันใดนั้นก็มีหน้าต่างแชทเด้งขึ้นมา เขาปรายตามองแวบหนึ่งก็พบว่ามันเป็นการขอแชทผ่านวิดีโอจากเหมาเหว่ยหลง เขาจึงกดตอบรับ

ทันทีที่เชื่อมต่อวิดีโอได้ก็ได้ยินเสียงแหบแห้งของเหมาเหว่ยหลงดังขึ้นมา “ฉินโซ่ว รีบหลบเร็ว ให้ฉันดู ‘วิลล่า’ ของแกหน่อยสิว่ามันเป็นยังไงบ้าง”

เสียงของเขาดังมาอย่างกะทันหัน เสี่ยวหมิงที่กำลังวุ่นอยู่กับการเลียอุ้งเท้าอยู่จึงตื่นตกใจขึ้นมาเพราะเสียงที่ดังขึ้นอย่างฉับพลันและทำให้มันลนลานจนกลิ้งหล่นลงไปจากไหล่ของฉินสือโอวราวกับก้อนด้าย

ฉินสือโอวรีบรับมันไว้ แต่มันจะทันได้ยังไง? ดีที่กระรอกมีการทรงตัวดี เสี่ยวหมิงขยับหางพวกโตไปมาแล้วลงพื้นได้อย่างปลอดภัย จากนั้นมันก็รีบวิ่งหนีออกไปข้างนอกทันที เห็นได้ชัดว่าเสียงของเหมาเหว่ยหลงคงทำให้มันตกใจเสียแล้ว

เหมาเหว่ยหลงส่งเสียง ‘หืม’ ออกมาคำหนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมา “เมื่อกี้อะไรที่อยู่บนไหล่แกน่ะ?”

ฉินสือโอวกลอกตาไปทีหนึ่งแล้วพูดออกมา “กระรอกตัวหนึ่ง”

“กระรอกจากไหน? ”

ฉินสือโอวจำใจเล่าที่มาของเสี่ยวหมิงกับเสี่ยวหงให้เขาฟัง เหมาเหว่ยหลงฟังแล้วก็ทำเสียงจุ๊จุ๊อย่างแปลกใจ “ที่นั่นบรรยากาศดีขนาดนั้นเชียวเหรอ นอกหน้าต่างก็มีต้นเมเปิลอยู่ต้นหนึ่ง บนต้นไม้ยังมีกระรอกอีก? แหม ถ้ามีเวลาฉันต้องไปเที่ยวหานายหน่อยแล้ว จริงสิ แล้วแวนโก๊ะของนายเป็นยังไงบ้างล่ะ?”

ฉินสือโอวจงใจถอนหายใจแล้วพูดออกมา “ของปลอม มันเป็นของเลียนแบบน่ะ”

เหมาเหว่ยหลงปลอบใจเขา “ไม่เป็นไร ถือเสียว่าเป็นของตกแต่งแล้วกัน แกก็น่าจะเตรียมใจไว้บ้างแล้วใช่ไหมล่ะ? ผลงานจริงของแวนโก๊ะจะหาเจอง่ายๆ ได้ยังไง?”

“รูปวาดของแวนโก๊ะเป็นของปลอม แต่ตอนนั้นมีอีกรูปเป็นของปิกาโซ นั่นน่ะของจริง”

“อะไรนะ?! ปิกาโซ?! เฮ้ย แกล้อฉันเล่นใช่ไหม?!” เสียงแหบแห้งของเหมาเหว่ยหลงดังขึ้นมาสิบเดซิเบลในทันใด

เมื่อกระรอกเสี่ยวหมิงที่แอบซุ่มดูสถานการณ์อยู่นอกหน้าต่างในทีแรกได้ยินน้ำเสียงแหบแห้งดังขึ้นมาอย่างฉับพลัน มันก็ตกใจจนขนลุกชันทั้งตัวแล้วรีบหันหลังกระโดดขึ้นต้นเมเปิลหนีไปเลย

ฉินสือโอวหยอกเหมาเหว่ยหลงต่อ “โอ๊ย อันนั้นไม่สำคัญ ภาพวาดใบนั้นไม่ได้มีค่าอะไรมากมายหรอก มากสุดก็แปดหมื่นถึงแสนเหรียญเอง มีนักประเมินราคามาดูแล้ว”

เหมาเหว่ยหลงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง “โลกนี้มันอะไรกันเนี่ย แปดหมื่นถึงแสนเหรียญแกยังว่าบอกไม่มีค่า?! โลภมากลาภจะหายเอานะเว้ย!! ฉินโซ่ว แกต้องโดนฟ้าลงโทษแน่นอน!”

ฉินสือโอวพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ตอนเจอภาพวาดพวกนี้ฉันยังเจอรูปปั้นอีกรูปหนึ่งด้วย มันเป็นชิ้นที่ทำขึ้นในยุครุ่งเรืองของศิลปกรรม ผู้เชี่ยวชาญของบริษัทจัดประมูลบอกฉันว่ามันมีค่ายี่สิบกว่าล้าน...”

“พรึ่บ!”

อยู่ดีๆ หน้าจอก็ดับวูบไป ฉินสือโอวขยับเมาส์ไปมาก็พบว่าปัญหาไม่ได้เป็นที่เขา แต่เป็นทางฝั่งเหมาเหว่ยหลงที่ออฟไลน์ไปแล้วต่างหาก

ผ่านไปครู่หนึ่งเหมาเหว่ยหลงก็ส่งข้อความแชทมาให้เขา “ฉันจะรีบจองตั๋วเครื่องบินไปหาแกตอนนี้เลย!”

ตกดึกเออร์บักก็มาหาเขา ฉินสือโอวทำปลาชิ้นอบน้ำส้มสายชูกับปลาคาร์ฟย่างมาต้อนรับเขา ทั้งสองคนกินอาหารพลางพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการโอนสัญชาติของเขาไปด้วย

เออร์บักบอกเขาว่าขั้นตอนในการดำเนินงานไม่มีปัญหา นอกจากนี้วันนี้เขายังส่งเอกสารไปให้กับสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแล้วด้วย ตอนนี้เหลือแค่ตรวจสอบอีกนิดก็จะเสร็จเรียบร้อยแล้ว อย่างมากก็ไม่เกินสองวัน

ฉินสือโอวแปลกใจกับความรวดเร็วในการทำงานของรัฐบาลแคนาดา แต่ต่อมาเขาถึงรู้ว่าเออร์บักติดต่อกับเพื่อนเก่าให้ช่วยทำเรื่องให้เขาหน่อย เขามีเพื่อนเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงในสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ดังนั้นการเดินเรื่องถึงได้รวดเร็วอย่างนี้

หลังทานมื้อค่ำเสร็จ เออร์บักก็ขอตัวกลับก่อน ฉินสือโอวไปส่งเขาที่ประตูพร้อมพูดขึ้น “คุณเออร์บัก คุณขี้เกรงใจเกินไปแล้ว คราวหลังข่าวแบบนี้โทรมาบอกผมก็ได้นะครับ ไม่ต้องมาหาถึงที่ก็ได้”

เออร์บักยักไหล่แล้วพูดออกมา “ไม่ได้สิ ถ้าฉันไม่มาเอง ใครจะทำอาหารค่ำให้ฉันกินล่ะ?”

เออร์บักกลับไปที่รถบีเอ็ม750 ของเขาพร้อมหัวเราะชอบใจก่อนจะขับออกไป

ฉินสือโอวได้แต่ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น และขณะที่เขาจ้องมองเงาหลังอันสวยงามของรถบีเอ็มไปนั้นเขาก็พลันนึกขึ้นได้ว่าเขาเองก็น่าจะซื้อรถสักคันหนึ่งได้แล้ว ตอนนี้ตัวเขาก็นับว่าเป็นคนมีฐานะคนหนึ่ง แล้วเขายังจะขับรถเก่าบุโรทั่งอีกหรือ?

พอกลับไปถึงเตียง จิตสำนึกของฉินสือโอวก็ดำดิ่งลงไปในมหาสมุทร

ทันทีที่ดำดิ่งลงไปในท้องทะเล ตัวเขาก็เริ่มจากการมองหาเหล่าปะการัง ทันใดนั้นเขาก็พลันพบว่าปะการังที่เคยดูมืดมนสิ้นหวังไปช่วงก่อนหน้านี้กลับดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาแล้ว ครั้งก่อนตอนที่เขาจากมาปะการังที่มีชีวิตยังมีอยู่เพียงสิบกว่าตารางเมตรเท่านั้น แต่ตอนนี้มันกลับแผ่ขยายออกไปถึงยี่สิบตารางเมตรอย่างรวดเร็ว

เห็นได้ชัดว่าความพยายามของเขาไม่สูญเปล่า ปะการังทั้งหลายพยายามรักษาพลังชีวิตเอาไว้และแตกหน่อต่อยอดออกไปไม่หยุดจนทำให้ท้องทะเลแห่งนี้มีสีสันสวยงามเหมือนได้เกิดใหม่

ข้างๆ กอหินปะการังคือแมงกะพรุนจิ๋วที่หายดีเป็นปกติแล้วและกำลังลอยไปตามกระแสน้ำใต้ทะเล แมงกะพรุนจิ๋วที่ขยับไปมาไม่หยุดดูเหมือนกำลังเต้นรำอยู่อย่างไรอย่างนั้น

นอกจากนี้ฉินสือโอวก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเมื่อจิตสำนึกของเขาปรากฏขึ้นมา พวกปะการังและแมงกะพรุนจิ๋วดูเหมือนจะร่าเริงมีชีวิตชีวาขึ้นทันที เขาสัมผัสได้ว่าทั้งปะการังและแมงกะพรุนต่างก็แหวกว่ายเข้ามาหาจิตสำนึกของเขาเสมือนต้องการการทะนุถนอมจากเขาก็ไม่ปาน

ฉินสือโอวแผ่ขยายจิตสำนึกของเขาออกไป โดยเฉพาะกับพวกปะการัง เขาเติมพลังลึกลับเข้าไปอีกครั้งเพราะเขารู้ดีว่าพื้นทะเลใกล้ชายฝั่งต้องมีปะการังก่อนพวกแมลงน้ำและพืชทะเลถึงจะสามารถเติบโตได้ และสิ่งเหล่านี้ก็คืออาหารหลักของปลานานาพันธุ์อีกด้วย

ถึงแม้ว่าการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมใต้ท้องทะเลของเขาจะไม่ได้มากมายอะไร แต่มันก็เห็นผลพอสมควร ท้องทะเลที่เคยมืดมนไร้ชีวิตในช่วงก่อนหน้านี้เริ่มมีปลาปรากฏตัวให้เห็นบ้างแล้ว ยกตัวอย่างเช่นจิตสำนึกของฉินสือโอวมาถึงที่นี่ได้ไม่นานก็มีปลาสีเงินตัวเล็กๆ สองตัวแหวกว่ายผ่านไปมาแล้ว

ฉินสือโอวพิจารณาปลาสองตัวนี้ พวกมันมีความยาวลำตัวประมาณสิบเซนติเมตร บนลำตัวมีเกล็ดทรงกลมเล็กๆ นอกจากนี้ที่หลังของพวกมันยังมีครีบหลังที่เจริญเติบโตอย่างเต็มที่ ลำตัวสั้นอวบก็เปี่ยมไปด้วยพละกำลัง

หลังจากพวกมันว่ายเข้ามา ปลาสีเงินสองตัวนี้ก็เข้าไปหาแมลงน้ำกินแถวกอหินปะการัง จากนั้นมันก็มุดเข้าไปอยู่ในตัวของแมงกะพรุนจิ๋ว พวกมันเหมือนจะรู้ว่าเจ้าสิ่งนี้สามารถปกป้องพวกมันได้

ขณะที่ฉินสือโอวพยายามกระตุ้นให้ปะการังทั้งหลายแตกหน่ออยู่เขาก็มองดูปลาทั้งสองตัวนี้ไปด้วย จากลักษณะของปลาสองตัวนี้ เขาเดาว่าพวกมันน่าจะเป็นประเภทปลาน้ำเย็นที่มีอยู่ในประเทศซึ่งมีชื่อว่าปลาเพิร์ช

เหตุผลที่เขารู้จักปลาประเภทนี้เพราะขณะที่ฉินสือโอวกำลังหาข้อมูลปลานานาพันธุ์อยู่นั้นเขาบังเอิญไปสะดุดตากับข้อมูลที่ว่ามีปลาทะเลที่ออกลูกเป็นตัวด้วย ซึ่งมันก็คือปลาเพิร์ชนั่นเอง

ฉินสือโอวเริ่มรู้สึกเหนื่อยแล้วเขาจึงดึงจิตสำนึกกลับมาจากปะการังเหล่านั้นแล้วมุ่งหน้าต่อไปยังท้องทะลลึก

ใจกลางมหาสมุทรเป็นสิ่งที่มีพลังมหาศาล แต่ขอเพียงจิตสำนึกของฉินสือโอวไปถึง เขาก็จะสามารถควบคุมมันได้

นี่คือความรู้สึกที่วิเศษมาก เหมือนกับเขามีตาหมื่นลี้ แค่เป็นสถานที่ที่จิตสำนึกของเขาเข้าไปถึง แม้ว่าจิตสำนึกของเขาจะจากมาแล้วแต่ก็ยังสามารถรับรู้ได้ถึงทุกสิ่งทุกอย่างของที่นั่น

จิตสำนึกพาเขาออกห่างจากชายฝั่ง จากนั้นคุณภาพของน้ำทะเลก็ยิ่งดีขึ้น และสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่พบภาพท้องทะเลสีสันสวยสดงดงามแบบที่เขาคาดหวังเลย

งานหนักล้นมือแล้ว! จิตสำนึกของฉินสือโอวลอยออกไปพลางถอนหายใจออกมา

……………………………………….