บทที่ 36 รสชาติของบ้าน
เหมาเหว่ยหลงโทรเรียกเพื่อนคนหนึ่ง ให้มารับฉางอันไป ส่วนตัวเองขับจี๊ป แกรนด์ เชอโรคี
"ไม่รู้ว่านี่จะนับเป็นสินบนไหมเนี่ย" ฉินสือโอวเย้า
เหมาเหว่ยหลงพ่นลมหายใจ กล่าวว่า "จะนับไปทำไม นี่เป็นของขวัญจากเพื่อนต่างประเทศ แสดงให้เห็นถึงมิตรภาพของพวกเราระหว่างจีนกับแคนาดาเชียวนะ! ใครมันกล้าบอกว่ารถคันนี้คือสินบน ถือเป็นการทำลายมิตรภาพอันยิ่งใหญ่ของทั้งสองประเทศ!"
ฉินสือโอวกับเออร์บักหาโรงแรมสี่ดาวเข้าพัก พวกเขาค้างแค่คืนหนึ่ง แล้วกลับบ้านในวันต่อมา
เหมาเหว่ยหลงเริ่มคุยจ้ออีก "ทำไมแกไม่โทรบอกฉันก่อนเล่า เพื่อนร่วมห้องพวกเราทางนี้ก็ไม่ใช่น้อยๆ เฉินเหล่ยกับต้าซุ่นก็อยู่ ถ้ารู้ว่าแกจะกลับวันนี้ ฉันคงนัดล่วงหน้าก่อน พวกเราจะได้จัดงานเลี้ยงรุ่นกัน"
"เดี๋ยวค่อยก็ได้ ครั้งนี้ฉันต้องรีบกลับไปหาพ่อแม่ก่อน ยังไงตอนฉันจะกลับแคนาดาก็ต้องไปปักกิ่งอยู่ดี ไว้ตอนนั้นพวกเรามาเจอกันก็ยังไม่สาย" ฉินสือโอวทำได้เพียงสัญญาเช่นนั้น
พอกลับประเทศ เขาก็คิดถึงพ่อเฒ่าแม่เฒ่าที่บ้านมาก อยากรีบกลับไปกินพายเนื้อของแม่และต้นหอมผัดเนื้อของพ่อ
ตอนเช้าวันที่สอง ฉินสือโอวไปที่สนามบินอีกครั้งเพื่อเปลี่ยนเครื่องไปลงเขตตงชานเมืองชานเจ๋อ จากนั้นนั่งรถตู้จากสนามบิน เข้าไปซื้อของในเมือง แล้วจึงเลี้ยวกลับบ้าน
คนขับมองความใจกว้างของฉินสือโอว และชาวต่างชาติที่พามาด้วย ก็พูดขึ้นอย่างอิจฉา "แกโชคดีจริงนะไอ้น้อง อยู่ต่างประเทศหรือ? ประเทศไหนล่ะ? อเมริกาไหม? ไอ้ฝรั่งนี่หน้าเหมือนอเมริกันอยู่?"
ฉินสือโอวยิ้มตอบ "ไม่ใช่อเมริกาครับ แคนาดาต่างหาก"
คนขับว่า "ก็เหมือนกันนั่นแหละ ไปอยู่ต่างประเทศได้ก็โชคดีแล้ว ว่าแต่ไอ้ฝรั่งนี่ใครกัน หายากนะเนี่ย ฉันเพิ่งเคยรับผู้โดยสารที่เป็นฝรั่งครั้งแรกเลย"
คนขับเอาแต่ใช้คำว่า 'ฝรั่ง' ซึ่งถือว่าไม่สุภาพอย่างยิ่ง เออร์บักที่อายุมากแล้วมีมุมมองเปิดกว้าง จึงไม่ได้ใส่ใจ แต่ฉินสือโอวไม่ยอม เขาเอ่ยเตือน "คุณครับ คุณอย่ามองคนข้างๆ ผมเป็นคนต่างชาติเลย เขาแทบจะพูดภาษากลางได้คล่องพอๆกับคุณเชียวนะ"
"ฉิน ไม่เป็นไรหรอก ฉันชินแล้ว" เออร์บักร่วมตามน้ำโดยใช้ภาษาจีนตอบกลับไป
คนขับฮึดฮัดหน้าเสีย แล้วไม่พูดอะไรอีก
บ้านฉินสือโอวอยู่ในส่วนชนบทของเมืองชานเจ๋อ พอออกจากตัวเมืองไปได้ประมาณ 100 กิโลเมตร ก็มีทางขึ้นเขามากมาย ทำให้คนขับไม่กล้าขับเร็วมาก จนใช้เวลาไปสองชั่วโมงจึงจะส่งเขาถึงเมืองเล็กๆ
รถบริษัท BYD ขับไปตามถนนยางมะตอยในเมือง อากาศช่วงเดือนพฤษภาคมของเมืองนี้อบอุ่นกว่าเมืองอื่นมาก สาวๆพากันสวมถุงน่องโปร่งใส เดินเฉิดฉายบนส้นสูงไปมา
ต้นไม้สองข้างทางเต็มไปด้วยสีเขียว ต้นหญ้าอ่อนตามพื้นดิน การแต่งการพื้นเมืองที่เต็มไปด้วยสีสัน ขับให้ดูน่าหลงใหล
ตอนที่รถขับมาจอดยังลานจอดรถในเมือง ฉินสือโอวก็เหลือบเห็นร่างของพ่อ กำลังหาบของข้ามถนน ขายต้นหอมสีเขียวสด
เมื่อเห็นร่างของพ่อที่ก้มหยิบต้นหอม ในใจฉินสือโอวก็พลันปวดร้าว รู้สึกตัวเองช่างเป็นลูกอกตัญญู
ก่อนไปแคนาดา เขายังไม่กล้าบอกเรื่องที่ตัวเองได้รับมรดก พ่อแม่เขาล้วนทำงานเป็นชาวนามาทั้งชีวิตเลยหวาดระแวงเรื่องความรวยในพริบตา
นอกจากนี้ ปู่รองของฉินสือโอวสำหรับพวกเขาก็ไม่ต่างจากเรื่องเล่า ต่างด้าวที่มารุกรานจีนแล้วกลับประเทศไปโดยไม่ได้ข่าวคราวอีกเลย ขืนจู่ๆไปบอกพ่อแม่ว่าปู่รองที่ไม่แม้แต่จะเคยเจอทิ้งมรดกร้อยล้านไว้ให้เขา พวกท่านย่อมไม่เชื่อ กังวลว่าเขาจะโดนหลอก และไม่ให้ไปต่างประเทศแน่นอน
ถึงจะยอมให้เขาไป ก็คงกังวลกันทั้งวันทั้งคืน ฉินสือโอวจึงบอกแค่ไปเรียนต่อต่างประเทศแทน
ด้วยเหตุนี้ตอนได้รับเงินสิบล้านจากบริษัทจัดประมูลริชชี่มาทีแรก ฉินสือโอวเลยกล้าให้ที่บ้านแค่แสนเดียว หากให้เยอะพ่อแม่เขาอาจคิดเป็นตุเป็นตะได้
หลังให้คนขับจอดรถ ฉินสือโอวเดินเข้าไปหาพ่อ ยืนยิ้มๆ
"เอาต้นหอมไหม? จะหั่นครึ่ง เอาไปผัด ห่อเกี๊ยว..." พ่อฉินพูดไปตามความเคยชิน พอเงยหน้าก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าเป็นลูกชายที่กลับมา
"แกมาถึงตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย? ฉันไม่เห็นมีรถในเมืองผ่านมาสักคัน" พ่อฉินยิ้มดีใจ "มาๆ ตรงนี้มีม้านั่ง นั่งรถมาเหนื่อยไหม?"
บรรดาคนขายแผงลอยด้านข้างต่างเอ่ยเย้ากันเซ็งแซ่
"อ้าว ลูกชายบ้านเฒ่าฉินกลับมาแล้วเหรอ? เป็นหนุ่มหล่อเสียแล้ว ดีจริง"
"เฒ่าฉินไม่ต้องเสียเวลาเก็บของหรอก ลูกชายกลับมาทั้งที ยังจะขายต้นหอมอะไรอีก"
"เสี่ยวฉิน พ่อแกขยันทำงานมากเลย มารับแกถึงในเมืองก็ยังไม่ลืมจะขายต้นหอมอีก ทีหลังแกก็กตัญญูต่อพ่อตัวเองด้วยล่ะ"
ฉินสือโอวหัวเราะกับคำทักทายของบรรดาพ่อค้าแม่ค้า พ่อฉินถูมืออย่างอายๆ หันไปอธิบายลูกชายว่า "แม่แกให้พ่อมารับน่ะ พ่อเลยคิดว่าไหนๆ ก็เข้ามาในเมืองแล้ว จะไปมือเปล่าก็กระไรอยู่ เลยเอาต้นหอมมาขายให้ได้เงินสักหน่อย"
ฉินสือโอวพยักหน้าตอบ "ผมรู้ครับ พ่อ พวกเรากลับบ้านกันเถอะ เดี๋ยววันหลังก็ดีขึ้นเอง"
พ่อฉินยิ้มหน้าชื่น แบ่งต้นหอมที่เหลือให้เหล่าพ่อค้าแม่ค้า ฉินสือโอวเปิดท้ายรถ หยิบห่อบรรจุภัณฑ์สวยงามของน้ำเชื่อมเมเปิ้ลและปลาค็อดรมควันตัวหนึ่งออกมา แบ่งบรรดาคนขายของตามพ่อ ในฐานะที่พวกเขาถือเป็นเพื่อนเก่าของพ่อ
"เสี่ยวฉินท่าทางจะมีอนาคต น้ำตาลกับของรมควันนี่ดูราคาไม่ใช่น้อยๆ เฒ่าฉินช่างโชคดีจริงๆ" ผู้เฒ่าคนหนึ่งพูดพลางยิ้มกริ่ม พ่อฉินยิ้มอย่างภูมิใจเอ่ยว่า "แน่นอนสิ ลูกชายข้าต้องมีอนาคตอยู่แล้ว"
เมื่อหันกลับมา พ่อฉินก็แอบปวดใจเล็กน้อย กระซิบถาม "ของรมควันนี่แพงมากไหม?"
ฉินสือโอวโอบไหล่พ่อตอบ "ไม่แพงเท่าไรครับ"
เขาช่วยเอาหน้าให้พ่อ เพราะรู้ว่าบิดาตัวเองนั้นรักษาหน้าแค่ไหน
พ่อฉินนั่งรถรางเข้าเมืองมา ฉินสือโอวตรงเข้าไปช่วยพ่อหาที่วางของแล้วพาขึ้นรถกลับ
คราวก่อนตอนที่เขากำลังทำวีซ่า เออร์บักไม่ได้มาที่บ้านเขา ดังนั้นพ่อจึงเพิ่งเคยพบอีกฝ่ายครั้งแรก เมื่อเห็นว่าในรถมีชาวต่างชาตินั่งอยู่ด้วยชายแก่ก็ผวาสะดุ้งโหยง
ฉินสือโอวช่วยทั้งสองแนะนำตัวกัน พอรู้ว่าชายชราผมหงอกเคราขาวคนนี้เป็นถึงทนายความชื่อดังและยังเคยเป็นทูตประจำประเทศจีน พ่อฉินก็ยิ่งหวั่นเกรง
ระหว่างทาง ฉินสือโอวบอกความจริงกับพ่อ แต่พูดอ้อมๆ ไปว่า ฟาร์มปลาทำเงินได้ประมาณสิบกว่าล้าน ตอนนี้ทั้งตัวเขาในบัญชีมีอยู่สี่ห้าล้าน
แต่กระนั้นพ่อฉินก็ยังตกตะลึงจนตาค้าง กะพริบตาปริบๆ พูดอะไรไม่ออก
รถยนต์ขับมาถึงประตูหน้าบ้านพอดี ฉินสือโอวผลักเปิดประตูเหล็กสนิมเขรอะบานใหญ่ในบ้าน แม่ที่ได้ยินเสียงจึงเดินออกมา พอเห็นลูกชาย ก็แย้มยิ้มอ่อนโยนกล่าวว่า "อ้าว ตาฉินสือโอวกลับมาแล้ว"
ฉินสือโอวเข้าไปกอดแม่ แม่ฉินว่า "ดูสิแกไปต่างประเทศแค่รอบเดียว เจอกันก็มากอดทักทายแล้ว"
พ่อฉินและเออร์บักถือของในรถเข้ามา ฉินสือโอวได้จ่ายมัดจำที่เหลือให้คนขับ พร้อมของเล็กๆน้อยๆกลับบ้านไป
กลับมารอบนี้ ฉินสือโอวไม่ได้นำของมาเยอะ ของขึ้นชื่อของเมืองแฟร์เวลมี น้ำเชื่อมเมเปิ้ล ไอซ์ไวน์รวมถึงปลาทะเลแห้ง ตอนมาถึงเมืองชานเจ๋อก็ซื้อเออเจียว โสมจีนภูเขา และของอื่นๆอีก ยังมีเป็ดย่างสูตรพิเศษจากปักกิ่งที่เหมาเหว่ยหลงซื้อให้เขาเช่นกัน
เมื่อเห็นของขวัญมากมาย ที่ส่วนใหญ่ยังห่อไว้อย่างสวยงาม แม่ฉินผู้ประหยัดก็พาลรู้สึกปวดใจ "แกกลับมาคราวนี้ ทำไมซื้อของมาเยอะขนาดนี้?"
พ่อฉินที่ทราบเรื่องมาระหว่างทางแล้ว ครั้งนี้จึงสงบเยือกเย็น ยิ้มตอบว่า "ลูกชายเธอตอนนี้กลายเป็นเศรษฐีเงินล้านแล้วนะ"
ฉินสือโอวยิ้มเจื่อน ไม่ใช่แค่เศรษฐีเงินล้าน ตัวเขาแทบจะถึงขั้นเศรษฐีร้อยล้านแล้ว
เออร์บักยังง่วนอยู่กับการช่วยขนย้ายของ พ่อฉินจึงรีบเชิญเขานั่ง แม่ฉินพูดขึ้น "แม่โทรตามลูกสาวมาแล้ว เดี๋ยวมื้อเที่ยงมากินข้าวพร้อมกัน"
ฉินสือโอวไม่ได้เป็นลูกคนเดียวในบ้าน เขายังมีพี่สาวอีกคน ที่แต่งงานย้ายไปอยู่ต่างเมือง แต่ปกติจะกลับมาบ้านทุกครั้งที่สะดวก
หลังเก็บของแล้ว แม่ฉินรีบตรงเข้าครัว พายเนื้อเธอยังวางอยู่ในหม้อ ซึ่งเพิ่งปล่อยไว้ไม่นานก็ไหม้เสียแล้ว
"แม่ เราไปกินร้านอาหารกันไหม" ฉินสือโอวไม่อยากให้แม่เหนื่อยเกินไป
แม่ฉินโบกมือปฏิเสธ "แกเก็บเงินไว้เถอะ จะไปร้านอาหารทำไม ที่บ้านไม่ดีหรือไง? มีทุกอย่าง สองวันก่อนฉินเผิงก็ให้เนื้อวัวมาสองชั่ง(1กก.) เดี๋ยวแม่ทำซุปเนื้อวัวให้กินกัน"
พ่อฉินหยิบเนื้อกับผักที่ซื้อมาออกจากตู้เย็น ละลายน้ำแข็งเนื้อพลางกล่าวว่า "ใช่ ร้านอาหารมีอะไรให้กินกัน? แพงอีก กินอะไรไม่ได้หรอก กินที่บ้านนี่แหละ เดี๋ยวพ่อทำต้นหอมผัดเนื้อกับสันในทอดให้แกเอง"
เตาแก๊สเปิดขึ้น ตามด้วยเทน้ำมันถั่วลิสง เกลียวควันลอยฟุ้ง พร้อมกลิ่นหอมของน้ำมันผัดที่กำจาย
สำหรับฉินสือโอว กลิ่นน้ำมันไหม้ที่คละคลุ้งนี่แหละ คือรสชาติของบ้าน
……………………………………..