บทที่ 38 เพื่อนรักโอบกอดกัน
อาหารปลาเม็ดโตร่วงลง หมู่ปลาต่างพุ่งเข้าไปแย่งกันกิน บรรยากาศเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น
ฉินสือโอววางใจแล้วเคลื่อนย้ายไปที่พื้นที่หลักของเขาซึ่งก็คือเขตแนวปะการัง
ช่วงก่อนเขากังวลเล็กน้อย แนวปะการังตรงนั้นเป็นจุดที่สาหร่ายทะเลอุดมสมบูรณ์ที่สุด ฝูงปลาหิมะจะไปแทะตรงนั้นจนหมดหรือเปล่า? ถ้าเป็นแบบนั้นที่เขาพยายามมาทั้งหมดก็สูญเปล่า
ปรากฏว่าพอฉินสือโอวดูที่แนวปะการังก็ดีใจขึ้นมา เขาเห็นเพียงวาฬเบลูกาบอลหิมะตัวน้อยแหวกว่ายอยู่แถวๆแนวปะการังราวราชา มีมันคอยเฝ้าอยู่ลูกปลาหิมะจะกล้าเข้าใกล้แนวปะการังได้ไง?
กลุ่มปลาเรนโบว์เทราต์ก็ดูสงบนิ่งเสียจริง บอลหิมะว่ายผ่านพวกมันไปในบางครั้ง แต่เหล่าเรนโบว์เทราต์ก็ไม่กลัว ยังคงแหวกว่ายทำเรื่องของตัวเองไป
พอจิตสำนึกโพไซดอนปรากฏ บอลหิมะก็ตื่นตัวเกร็งตัวตรงแล้วพุ่งขึ้นไปราวกับตอปิโดที่ถูกยิงทำเอาปลาหิมะที่ว่ายอยู่รอบๆตกใจจนว่ายหนีแตกตื่น
ฉินสือโอวแบ่งจิตสำนึกโพไซดอนส่วนหนึ่งให้กับบอลหิมะเป็นรางวัลที่มันช่วยอารักขาพื้นที่ ความยินดีแผ่ซ่านออกมาจากตัวของบอลหิมะอย่างชัดเจน มันแหวกว่ายวนเวียนใกล้ๆกับจิตสำนึกโพไซดอนด้วยท่าทีเดียงสา
ตอนนั้นเองปลาหลายลวดลายหลากสีสันสองสามตัวก็ดึงดูดสายตาของฉินสือโอว
บนตัวของปลาพวกนี้ลวดลายมีสีฟ้า เขียว แดง และดำ สีสันที่สดสวยทำให้ฉินสือโอวประทับใจ ปากกับลำตัวพวกมันผสานกัน รูปทรงปากนั้นราวนกแก้ว แหวกว่ายอย่างไร้จุดหมายตามแถวแนวปะการัง บางครั้งก็กินซากโพลิปเป็นพักๆ
“ปลานกแก้ว? เจ้านี่มาจากไหน?” ฉินสือโอวมองปราดเดียวก็รู้ว่าปลาตัวนั้นคือปลาอะไร
ปลานกแก้วมีความสำคัญกับระบบนิเวศแนวปะการังมากๆ พวกมันกินโพลิปที่ตายแล้วเป็นอาหาร แล้วยังถ่ายเอาปะการังหรือหินที่ย่อยไม่ได้ออกมาเป็นเม็ดทรายด้วย
นอกจากนั้น ปลานกแก้วสามารถหลั่งสารเหนียวชนิดหนึ่งออกมาซึ่งสารนั้นมีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของโพลิปอย่างมาก ช่วยให้โพลิปเกาะตัวกันกลายเป็นแนวปะการังได้ดีขึ้น
นี่คือระบบนิเวศท้องทะเลอันแสนน่าฉงน สิ่งแวดล้อมหลากหลายกว่า พื้นที่เยอะกว่า เหตุเพราะมีน้ำทะเลเป็นสื่อกลางทำให้สิ่งมีชีวิตสามารถสื่อสารกันได้ในหลากหลายวิธีกว่า
มีปลานกแก้ว แนวปะการังก็ขยายพื้นที่ได้ไวกว่าเดิมแล้ว
ฉินสือโอวถ่ายทอดพลังโพไซดอนลงในตัวของปลานกแก้ว พริบตาเดียวสีของผิวของปลานกแก้วก็ดูสดยิ่งกว่าเดิม ท่าทีก็กระตือรือร้นมากขึ้น ปากขยับเอาเศษเล็กเศษน้อยของปะการังกลืนเข้าท้องอย่างรวดเร็ว
แนวปะการังกำลังขยายขอบเขตกว้างออกไป แต่ชนิดของปลาแถวนั้นไม่ถือว่าเยอะ กลุ่มปลาเรนโบว์เทราต์ถือว่าเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดแล้ว แบบนี้ทำให้กลายเป็นว่าสิ้นเปลืองทรัพยากร
ฉินสือโอวคิดๆดูก่อนจะปล่อยลูกปลาราวสองร้อยตัวเข้าไปในแนวปะการัง และถ่ายทอดพลังโพไซดอนให้
นี่เป็นแค่สิ่งที่เขาทำไปอย่างงั้น ไม่ได้มีเจตนาอะไรเป็นพิเศษ แค่ไม่อยากจะปล่อยให้สาหร่ายในแนวปะการังเสียเปล่า
พอทำทุกอย่างเสร็จ ฉินสือโอวก็ว่ายน้ำเล่นพลางช็อปเว็บถาวเป่าอยู่ก้นทะเล แต่ก็ยังคงไม่ได้อะไร เขาจึงเปลี่ยนที่เป็นลำน้ำที่ภูเขาหิมะ ตอนที่ผ่านปากอ่าวก็แลเห็นเต่าบึงจุดที่แอบอยู่ก้นบึง เขาหยุดอยู่ข้างๆแล้วนอนหลับในขณะที่ฟื้นฟูพลังโพไซดอน
ตอนที่ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นเวลาเย็นแล้ว มีคนเขย่าเขาตื่น ฉินสือโอวลืมตาเจอกับใบหน้ายิ้มแย้มของฉินเผิง
“เฮ้ย ต้าเผิง!” ฉินสือโอวกลิ้งตัวลุกขึ้นมากอดเขา
ฉินเผิงพูดยิ้มๆ “แกนี่ก็กลับมาถูกเวลา ฉันนึกว่าแกจะไม่กลับมาแล้ว”
“เหลืออีกสองวันถึงแต่งงานไม่ใช่เหรอ ฉันไม่มีทางพลาดงานแต่งแกหรอก ฉันเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวแกนะ” ฉินสือโอวชนหมัดกับเขา
“ได้ยินมาว่าแกทำงานได้ดีนี่ ไปเมืองนอกแล้ว? ไม่พูดมากแล้วเพื่อน วันนี้ไปกินข้าวเย็นที่บ้านฉัน แล้วเรามานั่งคุยกันเสียหน่อย”
ที่ฉินเผิงมาก็เพื่อจะเชิญฉินสือโอวไปกินข้าว พูดจบก็กลับไป
ตกเย็น ฉินสือโอวเลือกบุหรี่ดีๆไว้หนึ่งมวนกับไอซ์ไวน์สองขวด อย่างอื่นก็มีพวกกังป๋วย ปลิงทะเล กุ้งมังกรแห้งแล้วหิ้วไปบ้านของฉินเผิง
บ้านของฉินเผิงอยู่ด้านตะวันตกของหมู่บ้านเป็นตึกสองชั้นที่เตรียมไว้เป็นเรือนหอเฉพาะ ตึกนั้นเพิ่งสร้างได้ไม่นาน ยังคงใหม่อยู่มาก
ฉินสือโอวเข้าประตูบ้านไปก็ทักทายพ่อแม่ของฉินเผิง ผู้เฒ่าทั้งสองยิ้มหน้าบานแล้วเอ่ยขึ้น “เสี่ยงโอวมาแล้วเหรอ นั่งเลย สองคนสนิทกันขนาดนี้ยังเอาของมาด้วยเยอะแยะทำไม?”
ฉินสือโอวก็ไม่เกรงใจ พูดตอบยิ้มๆ “เป็นของฝากจากแคนาดาทั้งนั้นครับ ตั้งใจซื้อมาให้ทุกคน”
“เสี่ยวโอวช่างพูดจริงๆ ทำโน่นนี่เป็น ไม่เหมือนต้าเผิง ยิ้มเป็นอย่างเดียว พูดเป็นเสียที่ไหน” แม่ของฉินเผิงพูดขึ้น
ฉินสือโอวตอบ “คุณป้าครับ คุณป้าแค่โดนเปลือกนอกที่ดูไม่เอาไหนของมันหลอกแล้ว ถ้าผมพูดเป็นจริงจะทำไมยังหาแฟนสักคนไม่ได้ละ? แล้วดูต้าเผิงสิ แฟนจะแต่งเข้าบ้านแล้ว”
พอพูดถึงเรื่องหาแฟน แม่ของฉินเผิงก็เข้ามาถามอย่างกระดี๊กราด๊า “นั่นสิเสี่ยวโอว เราก็ไม่เด็กแล้วนะ เป็นไง ตั้งใจจะมาหาแฟนที่บ้านเราไหม? คือว่า…..”
“พูดอะไรน่ะคุณ เสี่ยวโอวหาแฟนต้องให้คุณกังวลด้วยเหรอ? ตอนมหาลัยก็ทำงานบริษัทรัฐวิสาหกิจ ตอนนี้ก็ไปเมืองนอก จะขาดแฟนได้ไง?” พ่อของฉินเผิงถลึงตาพูด
แม่ของฉินเผิงไม่ยอม เท้าสะเอวโต้กลับ “ฉันรู้ว่าเสี่ยวโอวมีอนาคต แต่พูดเรื่องหาแฟนที่นี่มีอะไรไม่ดีละ? ผู้หญิงในเมืองสวย น่ามอง แต่ว่าความเป็นเมียเทียบผู้หญิงบ้านเราไม่ได้หรอก”
ฉินเผิงขยิบตาให้ฉินสือโอว อีกฝ่ายผุดยิ้มขมขื่นจนใจ
จะว่าไป ฉินสือโอวก็ไม่เด็กแล้วจริงๆ เขาไม่เคยหาแฟนเลย เพราะตอนที่อยู่เมืองไหเต่าเงินเดือนน้อยเกินไปบวกกับหน้าบาง ไม่เคยมีประสบการณ์มีความรัก ฉะนั้นแม้ว่าผู้หญิงในแผนกจะเยอะแต่เขาก็ยังเป็นชายโสด
ผู้หญิงที่บ้านใช่ว่าฉินสือโอวไม่เห็นในสายตา แต่เพราะไม่ค่อยได้กลับบ้านเลยไม่ค่อยรู้จักใคร
ฉินเผิงเรียกฉินสือโอวมานั่ง เขาพินิจดูไอซ์ไวน์และบุหรี่ก่อนจะพูดขึ้น “เพื่อนกันจริงๆ ดูก็รู้ว่าของดี”
ฉินสือโอวพูดยิ้มๆ “นายลองสูบลองดื่มดูว่าชอบไหม ถ้าชอบเดี๋ยวฉันส่งไปรษณีย์ให้บ่อยๆ ที่แคนาดามีของพวกนี้เยอะแยะ”
ฉินเผิงถาม “งั้นนายจะอยู่แคนาดาอีกนานแค่ไหน?”
ฉินสือโอวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “ที่จริงแล้วเพื่อน ฉันเป็นคนแคนาดาแล้ว ฉันย้ายทะเบียนบ้านไปที่โน่นแล้ว”
ประโยคนั้นทำเอาฉินเผิงตะลึงงัน เขาเบิกตากว้างก่อนจะเปิดปากพูด “เฮ้ย ไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหมเนี่ย? ตอนนี้นายเป็นคนต่างชาติไปแล้ว? คุณพระช่วย นายเก่งขนาดนี้เลยเหรอ?”
ฉินสือโอวกระอักกระอ่วน พูดได้แค่ว่า ‘เรื่องมันซับซ้อนเดี๋ยววันหลังค่อยเล่าละเอียด’
ทั้งสองนั่งลงพูดคุยกันหน้าเครื่องถ้วยชา พ่อแม่ของฉินเผิงทำกับข้าวสองสามอย่างอย่างรวดเร็ว เพราะสนิทสนมกันแล้ว แน่นอนว่าไม่ต้องต้อนรับใหญ่โตอะไร พ่อของฉินเผิงเข้าครัวทำไข่ผัดพริกหวาน ผัดดอกกะหล่ำ เนื้อต้ม ดอกโคลงเคลงทอดก็เป็นอันเสร็จ
พ่อแม่ของฉินเผิงไม่ได้มาที่โต๊ะในทันที แต่ให้พื้นที่หนุ่มๆพูดคุยกัน
ฉินสือโอวมองเนื้อต้มในซุปสีแดงก็น้ำลายสอ เขาพูดขึ้น “ฉันไม่ได้กินเนื้อต้มที่พ่อแกทำมาครึ่งปีแล้ว โหย ของกินที่แคนาดาจำเจ มีแต่ขนมปัง อาหารทะเล ไม่มีรสชาติเลย”
พ่อของฉินเผิงเคยเป็นพ่อครัว เนื้อต้มเป็นเมนูซิกเนเจอร์ของเขา ตอนนั้นเขาอุตส่าห์ทุ่มไปเรียนมาจากพ่อครัวอาหารเสฉวน
น้ำมันสีแดงเพลิง ดอกผักกาดก้านขาวเขียวสด รากบัวขาวดุจหิมะ เนื้อสไลด์เหลืองอร่าม พอใช้ตะเกียบพลิกดู กลิ่นเผ็ดร้อนของพริกและเผ็ดชาของชวงเจียก็พวยพุ่งขึ้นมา ช่างมีครบทั้งหน้าตา รสชาติ และกลิ่น
กินติดๆกันไปหลายคำ ฉินสือโอวถึงวางตะเกียบ ฉินเผิงชูแก้วเหล้าขึ้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “มา เพื่อน ชน!”
“ชน ยินดีด้วยกับการแต่งงาน” ฉินสือโอวพูด “เพียงแต่ฉันต้องบอกเลยว่าเรื่องนี้นายทำได้เยี่ยมมาก ฉันยังไม่รู้เลยว่านายมีแฟนแล้ว ทำไมแต่งงานเลยละ?”
ฉินเผิงผุดยิ้มจริงใจแล้วพูดยิ้มๆ “เฮ้อ เรื่องนี้โทษฉันไม่ได้ ฉันก็ไม่คิดว่าจะแต่งงานไวขนาดนี้ ฉันกับลี่ลี่รู้จักกันไม่ถึงครึ่งปีด้วยซ้ำ”
“วิวาห์ฟ้าแลบ?” แกบื้อขนาดนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่?” ฉินสือโอวถาม
พอได้ยินแบบนั้น ฉินเผิงก็เริ่มทำตัวไม่ถูก เขาเกาหลังหัวก่อนจะพูด “จริงๆเราไม่ได้ตั้งใจจะแต่งงานกันเร็วขนาดนี้ แต่ประเด็นคือ อย่างที่นายรู้…”
พูดไปเขาก็ส่งสายตาให้ฉินสือโอว สายตาที่ผู้ชายล้วนเข้าใจ
ฉินสือโอวตะลึงก่อนจะพูดต่อ “พวกแกทำเด็กออกมากันเหรอ?”
ฉินเผิงตอบอายๆ “อืม ใช่นะสิ แต่งงานเพราะลูก!”
ฉินสือโอวพูดไม่ออก ในฐานะที่เป็นผู้ชายซิง เขารู้สึกว่าในตอนนี้ที่เขาทำได้ก็คือชนแก้ว แล้วค่อยๆไปปาดน้ำตาด้วยมือขวา
“เออใช่ แฟนนายละ ฉันควรจะทำความรู้จักสักหน่อยนี่?”ดื่มไปได้ครึ่งหนึ่ง ฉินสือโอวถึงนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้
ฉินเผิงพูด “อยู่ที่บ้านแม่ตามธรรมเนียม ก่อนวันแต่งเก้าวันห้ามเข้าบ้านสามี พอดีพรุ่งนี้เราจะเข้าไปจองขบวนรถในเขต นายมากับเราด้วยสิ ฉันจะได้แนะนำให้รู้จัก”
พูดไป เขากะพริบตาปริบๆก่อนจะพูดขึ้น “ครั้งนี้เมียฉันพาเพื่อนมาไม่น้อย เดี๋ยวแนะนำให้คนหนึ่ง”
………………………………………………………