ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

บทที่ 39 ไม่ใช่เรื่องใหญ่

รุ่งเช้าวันถัดไป ฉินสือโอวถูกปลุกให้ตื่นด้วยโทรศัพท์จากฉินเผิง พอวางสายแล้วหันมาดูเวลา เป็นเวลาหกโมงครึ่งแล้ว เขาจึงรีบลุกขึ้นจากเตียง

ตอนอยู่เกาะแฟร์เวล ฉินสือโอวเป็นคนมีระเบียบวินัยมาก ไม่ว่าจะหลับดึกแค่ไหน เขามักจะตื่นขึ้นมาตอนหกโมงเช้าเสมอ เพื่อออกไปวิ่งจ๊อกกิ้งและออกกำลังกาย

ตอนนี้พอกลับมาอยู่บ้านเขาเอง เขากลับกลายเป็นคนขี้เกียจนอนตื่นสายเสียได้ บางทีอาจเป็นเพราะสภาพแวดล้อม ตอนฉินสือโอวเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายเป็นโรงเรียนประจำ หลังเรียนจบมหาวิทยาลัยก็ใช้ชีวิตข้างนอก กลับบ้านแบบนี้จึงเหมือนเป็นวันหยุดพักผ่อน จึงไม่แปลกที่เขาจะขี้เกียจ

ฉินเผิงมาพร้อมกับรถตู้ MPV ยี่ห้อ Bruik รุ่น GL8 ฉินสือโอวมองดูรถพร้อมตบกระโปรงรถเบาๆ พูดว่า “รถคันนี้ไม่เลวนะ”

รถตู้ซีรีส์ Bruik GL8 เป็นรถตู้ MPVในเครือ SH ที่นิยมใช้กันมากที่สุดที่สามารถเพิ่มที่นั่งได้อีกสามที่ด้วยกัน เครื่องยนต์ที่ติดตั้งเป็นเครื่องยนต์ OLVVT ขนาด V 6 สูบ ให้พละกำลังสูงสุดที่ 178 แรงม้า ถูกเรียกว่าเป็นรถ ‘ขนาดใหญ่มีระดับ หรูหราสะดวกครบครัน’ เป็นรถที่คณะรัฐบาลและผู้บริหารธุรกิจขนาดใหญ่ชื่นชอบ

ฉินเผิงหัวเราะพูดว่า “แน่นอนสิว่าต้องไม่เลว ราคาแตะสองแสนหยวนเชียวนะ รถนี่เป็นรถเจ้านายของพ่อฉันเอง เขาให้บ้านฉันยืมขับก่อน อย่างที่รู้กันว่าแต่งงานนั้นเรื่องเยอะ ไม่มีรถทำอะไรก็ไม่สะดวก”

คุณพ่อของฉินเผิงทำงานอยู่ในเหมืองหินแห่งหนึ่งในเมือง เจ้านายค่อนข้างใจดี เพราะงั้นไม่ว่างานจะเหนื่อยแค่ไหน แต่ก็ยังคงทำต่อไป

ฉินสือโอวฟังคำพูดของฉินเผิงแล้วรู้สึกคุ้นหู ครุ่นคิดพักหนึ่ง ก็นึกขึ้นได้ว่าครั้งที่แล้วที่ไปเที่ยวBJกัน ตอนเห็นเหมาเหว่ยหลงขับรถจี๊ปมาหา พวกเขาก็พูดประโยคเดียวกันนี้

พอคิดถึงตรงนี้ เขารู้สึกว่าตัวเองต้องเตรียมของขวัญแต่งงานดีๆสักชิ้นให้กับฉินเผิง พวกเขาสองคนไม่เพียงแต่โตมาด้วยกัน ตอนเขาไม่อยู่บ้าน ธุระในบ้านหลายๆอย่างก็ได้ฉินเผิงนี่แหละที่ช่วยพาพ่อแม่เขาไปทำ

ตอนสมัยประถม ฉินสือโอวและฉินเผิงเรียนบทเรียนหนึ่งด้วยกันชื่อ ‘การปฏิวัติหมู่บ้านต้าเจ๋อ’ ในบทเรียนนั้นมีประโยคหนึ่งว่าไว้ ‘ยามมีจะไม่ทอดทิ้งกัน’ ตอนนั้นเพื่อนๆที่เรียนด้วยกันต่างก็ให้คำมั่นสัญญาว่าแม้ตอนร่ำรวยก็ไม่จะลืมกัน ฉินสือโอวและฉินเผิงเองก็เคยสัญญากันไว้ด้วย

ตอนยังเด็ก ในหมู่เพื่อนมักจะให้คำสัญญากันในหลายๆเรื่อง แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไปเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ต่อหน้ากาลเวลาที่แปรเปลี่ยนไปนั้น คำสัญญาพวกนี้ที่บ้างก็ไร้สาระ บ้างก็ว่างเปล่า หรือบ้างก็ยากที่จะทำได้นั้นก็กลายเป็นเพียงลมปาก ที่จางหายและถูกลืมเลือนไปโดยคนพูด

ฉินสือโอวก็สามารถลืมคำสัญญาเหล่านั้นได้เช่นกัน เขาสามารถที่จะไม่ซื้อรถจี๊ปคันใหญ่ให้กับเหมาเหว่ยหลง เขาสามารถจะใส่ซองหนึ่งพันหยวนให้กับฉินเผิงในงานแต่งงาน เขาสามารถให้เงินพี่สาวใช้หลายหมื่นหยวนแทนที่จะเป็นหลายแสนหยวนเพื่อพอเป็นพิธี การทำแบบนี้แน่นอนว่าไม่ทำให้เขาตกเป็นขี้ปากใครได้ แต่เขาไม่เอาด้วยหรอก

ไม่มีจุดประสงค์อื่นใดเลย หลังจากมีเงินแล้วฉินสือโอวเพียงแค่ไม่อยากให้ตัวเองเปลี่ยนไปเป็นคนแบบที่ตัวเขาในตอนเด็กๆเกลียดที่สุดเท่านั้นเอง

ฉินเผิงขับรถมุ่งไปในเขตอำเภอ บ้านของคู่หมั้นเขาอาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆข้างเขตเมืองนั่นเอง ตอนนี้คงกำลังนั่งรถประจำทางเพื่อล่วงหน้าเข้าไปในตัวเมืองก่อนแล้ว

บ้านเกิดของฉินสือโอวอยู่ในเขตอำเภอชื่อว่าผิงเฉิง เป็นอำเภอที่มีการทำการเกษตรมาแต่โบราณ เศรษฐกิจเติบโตไม่ค่อยดีนัก แต่เพราะมีจำนวนประชากรเยอะ ดังนั้นพื้นที่จึงใหญ่ตาม แต่เพราะแบบนี้ เมื่อคนส่วนมากต่างทำอาชีพเกษตรกร จึงทำให้อาชีพด้านอื่นๆเจริญเติบโตได้ดี

รถ Buick ขับผ่านตำบลเข้าไปสู่เขตอำเภอ ตึกต่างๆที่ก่อนหน้านี้ดูไม่สูงมากตอนนี้ก็เด่นชัดขึ้นมา

ฉินสือโอวไม่ได้มาในเขตอำเภอนี้นานมากแล้ว เมื่อเห็นตึกใหม่ที่เพิ่งผุดขึ้นมา เขาพูดด้วยเสียงทอดถอนใจ “ในอำเภอนี้พัฒนาเร็วดีเหมือนกัน เพียงช่วงเวลาสั้นๆกลับมีตึกมากมายตั้งขึ้นมา”

ฉินเผิงเบะปากพูดต่อว่า “ตอนนี้พอคนมีเงินหน่อยก็ไปสร้างตึกกันหมดแล้ว ให้ตายสิ สร้างตึกมาตั้งมากมายยังจะขึ้นค่าที่อีก ฉันจะคอยดูว่าเมืองบ้านนอกเล็กๆแบบนี้ จะจ่ายค่าเช่าที่แพงหูฉี่นี่ไหวหรือเปล่า!”

“นายไม่คิดจะซื้อบ้านเหรอ?” ฉินสือโอวถาม

ฉินเผิงส่ายหัว พูดว่า “ซื้อบ้านในเขตอำเภอเนี่ยนะ? ฉันขอผ่านดีกว่า จะไปหาเงินจากไหนล่ะ? ตารางเมตรละตั้งสี่ห้าพันหยวน! อีกอย่างครอบครัวลี่ลี่ก็ดี ไม่ได้เรียกร้องว่าจะเอาบ้านหรือรถหรืออะไร ดังนั้นตอนนี้ฉันจึงยังไม่ได้คิดเรื่องที่จะซื้อบ้าน”

ทั้งสองคนคุยกันไปเรื่อยเปื่อย สักพักรถก็ขับไปถึงสุดเขตอำเภอตรงทางแยกที่จะไปเขตมณฑล มีรถคันหนึ่งขับผ่านไปด้วยความเร็วสูง ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในสงครามวอร์ซอ[footnoteRef:1]เลยทีเดียว [1: สนธิสัญญาวอร์ซอในที่นี่เปรียบถึงกองกำลังทหารของสหภาพโซเวียตและกรุงวอร์ซอในช่วงสงครามเย็นที่เกิดขึ้นระหว่างปี 1947-1991 ในตอนนั้นทางสหภาพโซเวียตได้เตรียมรถถังถึง50000คัน ทางกรุงวอร์ซอก็ไม่แพ้กัน มีการเตรียมรถถัง6.87คัน พร้อมรถหุ้มเกราะอีก7.74หมื่นคัน เมื่อเริ่มการปะทะกัน ทำให้เกิดสงครามที่ยิ่งใหญ่ระหว่างทวีปยุโรปกับพันธมิตรทางทหารของรัฐบาล]

ฉินสือโอวเห็นข้างทางก็มีตึกขึ้นใหม่เหมือนกัน จึงงหัวเราะแล้วพูดว่า “เป็นอย่างที่เธอพูดจริงๆด้วยนะ คนมีเงินหน่อยพากันสร้างตึก คนมีที่ก็พากันสร้างตึกเหมือนกัน ที่แบบนี้ยังมีคนสร้างตึกอีก?”

ระหว่างรอไฟแดงอยู่นั้น ฉินเผิงเลื่อนกระจกมองไปที่ตึกรามบ้านช่องข้างทางอย่างรู้สึกเสียดาย และพูดขึ้นว่า “พูดเป็นเล่น เสี่ยวโอว ฉันรู้สึกว่าสร้างตึกที่นี่สิถึงเรียกว่าฉลาดสร้าง ทำเลดี รถเยอะ คนเยอะ ถ้าหากซื้อตึกสักคูหาแถวนี้เปิดเป็นร้านซ่อมรถล่ะก็ ยังไงก็รุ่ง”

ฉินสือโอวเห็นฉินเผิงจ้องไปที่ตึกคูหาเล็กๆตึกหนึ่งที่อยู่ตรงหัวมุมถนน รู้สึกเหมือนคล้อยตาม ถามไปว่า “ที่นี่ค่าที่เท่าไร?”

ฉินเผิงตอบในทันทีว่า “2000 หยวนต่อหนึ่งตารางเมตร”

“อย่างนั้นก็ถูกมากสิ” ฉินสือโอวพูดด้วยน้ำเสียงแปลกใจ “ถ้าอย่างนั้นก็ซื้อตึกนั้นแล้วเปิดเป็นร้านซ่อมรถเสียสิ?”

ฉินเผิงหัวเราะพูดว่า “ก็ต้องมีเงินก่อนสิ พี่ชาย 2000 หยวนต่อตารางเมตรยังไม่แพงอีกเหรอ? ที่นี่เป็นรอยต่อระหว่างเขตเมืองกับตำบลนะ! อีกอย่าง เปิดร้านซ่อมรถน่ะต้องใช้พื้นที่เยอะ คิดๆดูแล้วอย่างไรก็ต้องเงินมีสักห้าหกแสนหยวนถึงจะเปิดได้”

ฉินสือโอวเพียงตบบ่าฉินเผิงเบาๆ ไม่พูดอะไรต่ออีก

ในที่สุดก็พวกเขามาถึงห้างสรรพสินค้าใจกลางเมืองอย่างรวดเร็ว เมื่อจอดรถแล้ว มีผู้หญิงกลุ่มหนึ่งเดินกรูเข้ามา

ฉินเผิงลากตัวฉินสือโอวไว้ พูดกับผู้หญิงที่เป็นคนนำทีมมาอย่างดีใจว่า “นี่ก็คือเพื่อนรักที่ฉันเคยเล่าให้เธอฟัง ฮ่าฮ่าฮ่า เขาชื่อฉินสือโอว…”

“ฉินสือโอว ฉิน ฉินโซ่ว?” ผู้หญิงผมยาวดำขลับ สวมกระโปรงทรงเอคนหนึ่งลองพูดตาม จากนั้นก็เอามือปิดปากหัวเราะอย่างสนุกสนาน

ฉินสือโอวรู้สึกประหม่า เขาเอามือลูบจมูก แล้วพูดว่า “ความจริง เพื่อนของผมเรียกผมว่าเสี่ยวโอวน่ะ”

ผู้หญิงที่ดูท่าทางเรียบร้อยคนนั้นคงจะเป็นเหยียนลี่ลี่นั่นเอง เธออายุประมาณยี่สิบสี่ยี่สิบห้าปี ไม่ค่อยสวยนัก แต่ว่าใบหน้าเนียนใส รูปหน้าเรียวยาวดูอ่อนหวาน มักชอบเม้มปากแล้วหัวเราะเบาๆ มองดูก็รู้ว่าต่อไปเธอต้องเป็นศรีภรรยาที่ดีแน่นอน

เธอเดินเข้ามายื่นมือให้ฉินสือโอว เริ่มแนะนำตัวก่อนว่า “สวัสดี ฉันชื่อเหยียนลี่ลี่ สี่คนนี้คือเพื่อนสนิทของฉัน ชื่อโจวหลิง โหลวมู่ชิง เฉาไห่ลู่ และอู๋อี”

หลังแนะนำตัวเสร็จ เธอก็ไปยืนอยู่ข้างๆฉินเผิง ไม่พูดอะไรอีก มีเพียงรอยยิ้มเบาๆเท่านั้น

ฉินสือโอวมองดูเหยียนลี่ลี่แล้วพูดด้วยเสียงทอดถอนใจว่า “ดีๆไม่นึกเลยว่าเจ้าทึ่มอย่างต้าเผิงจะมีภรรยาที่ดีอย่างเธอ! ถึงว่าเขาถึงได้อยากรีบแต่งงาน ดูท่าคงกลัวคนมาแย่งคนดีๆ ไปนี่เอง”

สาวกระโปรงทรงเอโหลวมู่ชิงหัวเราะฮิๆ พร้อมพูดว่า “ความจริงเหตุผลที่พวกเขารีบแต่งงานกันเพราะลี่ลี่ อุ๊บ…”

โจวหลิงที่ยืนอยู่ข้างๆรีบเอามือปิดปากเธอ แล้วพูดปนตำหนิว่า “ชิงชิง ห้ามพูดไปเรื่อย”

โหลวมู่ชิงรู้ตัวว่าเมื่อกี้ตัวเองเกือบเผลอพูดออกไปแล้ว จึงแลบลิ้นทำหน้าทะเล้นแล้วไม่พูดอีก

เพื่อนสนิทสี่คนของเหยียนลี่ลี่นั้น หน้าตาจัดว่าใช้ได้ โดยเฉพาะโหลวมู่ชิง ผมยาวสลวยสีดำเงา เสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดคู่กับกระโปรงทรงเอสีดำ เธอยังสวมถุงน่องและรองเท้าส้นสูงสีดำ มองไปแล้วให้ความรู้สึกเหมือนสาวออฟฟิศเซ็กซี่ในเกมเทพธิดาOL[footnoteRef:2] [2: เทพธิดาOL คือตัวละครในเกมออนไลน์ ชื่อว่านารูโตะของประเทศจีน]

ฉินสือโอวพยายามไม่ทำให้ตัวเองดู**จนเกินไป ดังนั้นหลังจากเขาพูดทักทายกับสี่สาวแล้ว ก็ทำหน้านิ่งแล้วมองไปทางห้างสรรพสินค้าแทน

ฉินเผิงให้ลี่ลี่กับสี่สาวขึ้นรถไปก่อน แล้วใช้ศอกสะกิดฉินสือโอว พูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่า “เป็นไง ในสี่สาวนั้นถูกใจคนไหน? ฉันให้ลี่ลี่เป็นแม่สื่อให้”

ฉินสือโอวนิ่งไม่ตอบ ฉินเผิงก็พูดอีกว่า “ต้องเป็นโหลวมู่ชิงแน่เลยใช่ไหม? แหม สเปคของแกฉันจะไม่รู้ได้ไง? ขาเรียวยาว สวมแว่นตา โหลวมู่ชิงนี่แหละที่ตรงเสปคแกที่สุด”

“ไปไหนก็ไป ตาข้างไหนของแกที่เห็นว่าฉันชอบโหลวมู่ชิง?” ฉินสือโอวพูดพร้อมหัวเราะ

ฉินเผิงที่ชอบเบะปากเป็นนิสัย พูดว่า “ฉันจะไม่รู้ใจแกได้ยังไง? ตาก็มองไปที่ห้าง แต่หางตาแอบเหล่โหลวมู่ชิงอยู่ใช่ไหม?”

ฉินสือโอวมองฉินเผิงอย่างประหลาดใจ พูดว่า “แหม ไอ้เจ้านี่ เดี๋ยวนี้ช่างสังเกตจริงๆนะ”

ฉินเผิงกะพริบตาแล้วพูดว่า “รอดูเถอะ พี่สะใภ้แกก็คือแม่สื่อแกนี่ล่ะ”

ระหว่างพูดหยอกล้อกัน ฉินเผิงขึ้นรถ ขับตรงไปที่บริษัทรับจัดงานแต่งงาน

เมืองผิงเฉิงมีบริษัทรับจัดงานแต่งงานเล็กใหญ่อยู่สิบกว่าเจ้า บริษัทที่ฉินเผิงและลี่ลี่เลือกนั้นเป็นบริษัทที่ดีในระดับปานกลาง

ตอนแรก เหยียนลี่ลี่ที่ค่อนข้างประหยัด จึงอยากเลือกบริษัทรับจัดงานแต่งขนาดเล็ก แต่ฉินเผิงไม่อยากให้เธอรู้สึกต่ำต้อย บวกกับก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหากอยากได้งานแต่งงานที่ดี เพราะยังไงทั้งชีวิตก็มีการแต่งงานเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

พวกเขามาบริษัทรับจัดงานแต่งในครั้งนี้ก็เพื่อยืนยันเกี่ยวกับขบวนรถในงานแต่ง ฉินเผิงกับเหยียนลี่ลี่ไปคุยกับเถ้าแก่ ส่วนฉินสือโอวเดินเล่นอยู่รอบๆร้าน

เถ้าแก่เจ้าของร้านเป็นชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบต้นๆ หลังเจอหน้าฉินเผิงกับลี่ลี่กล่าวทักทายตามประสาแล้ว ฉินเผิงก็ถามต่อว่า “เถ้าแก่จู ผมมาเพื่อยืนยันเวลาของขบวนรถงานแต่งครับ แปดโมงครึ่งเช้าวันที่10ขบวนรถของคุณต้องมาถึงหน้าบ้านผมนะครับ จากนั้นพวกเราถึงจะออกตัวไปรับเจ้าสาวพร้อมกัน”

เมื่อฉินเผิงพูดจบ เถ้าแก่ตะลึงงันไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เช้าวันที่8เหรอ? งานแต่งของคุณไม่ใช่วัน10เหรอครับ?”

คราวนี้กลายเป็นฝ่ายฉินเผิงตะลึงบ้าง เขาพูดด้วยน้ำเสียงซื่อๆ “คุณล้อเล่นหรือ งานเป็นวันที่8นะครับ ทำไมกลายเป็นวันที่10ไปได้ครับ?”

เถ้าแก่จูรีบหยิบตารางงานออกมาดูอย่างร้อนรน พูดว่า “ผมจำได้แม่นเลยครับว่าคุณบอกผมว่า…..แย่แล้ว เป็นวันที่สิบเดือนสี่ตามปฏิทินจันทรคติจีน แต่ผมดันลงวันที่ไว้เป็นวันที่10เดือน5ไป”

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่ใช่ไหมคะ?” เหยียนลี่ลี่ถามอย่างกังวล

เถ้าแก่จูตอบอย่างลำบากใจ “มันมีปัญหาครับ วันที่คุณทั้งสองแต่งงานเป็นวันดี ทางผมก็มีคู่แต่งงานอีกคู่ที่จัดงานในวันนั้นเหมือนกัน ขบวนงานแต่งก็เลยจองให้ทางเขาไปแล้ว ดูสิครับ เซ็นสัญญาไปแล้วด้วย”

ฉินเผิงพูดอย่างร้อนรนใจว่า “อย่างนี้พวกผมจะทำยังไงครับ? ทางคุณจะแก้ปัญหายังไง?”

เถ้าแก่จูพูดว่า “งั้นเอาอย่างนี้ไหมครับ ผมจะติดต่อเพื่อนของผม ให้เขาหาขบวนรถให้คุณแทน คุณว่าแบบนี้ดีไหมครับ? แต่รถคงไม่สามารถหาแบบที่ต้องการได้ทั้งหมดนะครับ”

เมื่อฟังจบ ฉินเผิงโกรธขึ้นมา และทะเลาะกับเถ้าแก่จูทันที

ฉินสือโอวที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก รีบเข้ามาแยกทั้งสองออกจากกัน พนักงานร้านจัดงานแต่งงานท่าทางนักเลงคนหนึ่งเดินเข้ามาพูดขึ้นว่า “พวกคุณทำอะไรน่ะ มาก่อความวุ่นวายเหรอ?”

ฉินสือโอวที่เพิ่งจะแยกตัวสองคนนี้ออกมาได้ หมอนี่ก็เข้ามาหาเรื่องอีก เขาจึงผลักหมอนี่ออกไป ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “คุณไม่ต้องมายุ่ง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณ”

พละกำลังของเขาในตอนนี้มีมากจนน่าตกใจ ‘โครม’ ผลักครั้งเดียวก็สามารถทำให้พนักงานตัวล่ำคนนี้ตัวหงายปลิวออกไป กระแทกจนเหมือนสมองน่าจะได้รับการกระทบกระเทือน เพราะพอลุกขึ้นมาแล้วก็ไม่กล้าเข้าไปหาเรื่องฉินสือโอวอีกเลย

ในที่สุดฉินสือโอวก็จัดการคู่เถ้าแก่จูกับฉินเผิงให้สงบสติอารมณ์ได้ โหลวมู่ชิงและพวกสาวๆต่างก็ยืนนิ่ง เอามือปิดปากยืนอยู่ข้างๆไม่กล้าส่งเสียง

พอสถานการณ์สงบลง ฉินเผิงอธิบายเพียงไม่กี่คำก็ทำให้ฉินสือโอวรู้ถึงต้นสายปลายเหตุ

ความจริงเถ้าแก่ร้านจัดงานแต่งก็ไม่ใช่พวกนักเลงสถุลอะไร เขาพูดอ้อนวอนต่อว่า “ใช่ครับ คุณน้อง เรื่องนี้เป็นความผิดของผมเอง ผมต้องรับผิดชอบ ตอนนี้ที่เราต้องทำคือแก้ไขปัญหาไม่ใช่เหรอ?”

ฉินเผิงพูดด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง “แค่คุณหาขบวนรถให้ได้แล้วยังไง? ขบวนที่ผมต้องการคือรถเบนซ์สีขาวนำขบวน และรถมาสด้า3สีแดงอีก6คัน ตอนจองผมก็แจ้งไว้แบบนี้!”

ที่บ้านเกิดฉินสือโอวการจัดขบวนรถแต่งงานมีความหมายที่เฉพาะตัวด้วย จะให้ดีที่สุดรถนำขบวนต้องเป็นสีขาว หมายถึง ‘คู่รักผมขาวโพลนไปด้วยกัน’ ส่วนรถตามหลังต้องเป็นสีแดง หมายถึง ‘แดงนำโชค’

ในขบวนรถแต่งงานนั้น รถที่นิยมมากที่สุดก็คือมาสด้า3 เพราะรถรุ่นนี้ทรงสวยราคาก็ค่อนข้างถูก ค่าเช่าจึงถูกกว่าด้วย

เหยียนลี่ลี่พูดด้วยเสียงห่อเหี่ยวใจ “ถ้าไม่ได้จริงๆ พวกเราคงต้องเปลี่ยนบริษัทแล้วแหละ”

เปลี่ยนตอนนี้ไม่ทันแล้ว มีเวลาแค่สองวันก่อนงานแต่ง งานต่างๆที่เตรียมไปตอนนี้ต่างก็ใกล้เสร็จหมดแล้ว

เถ้าแก่จูตอบสวนขึ้นมาว่า “วันที่คุณทั้งสองแต่งงานเป็นวันดี ในอำเภอมีคนจัดงานแต่งในวันนั้นอย่างน้อยก็ยี่สิบคู่ ไม่เชื่อพวกคุณลองไปถามบริษัทอื่นดู พวกเขาก็คงไม่มีขบวนรถให้แล้วเหมือนกัน”

ตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นตอนที่สถานการณ์ดำเนินไปถึงตอนหน้าสิ่วหน้าขวาน

ฉินเผิงเดินออกจากร้านจัดงานแต่งอย่างหมดอาลัย นั่งมองรถที่ขับไปมาอยู่ข้างถนน อีกนิดเดียวก็จะแต่งงานแล้ว สุดท้ายดันมาเกิดเรื่องแบบนี้ได้ ไม่ต่างกับเจอฟ้าผ่าลงมาในวันที่สดใสเลย

ฉินสือโอวก็ใจร้อนเช่นกัน เขามองไปรอบๆ แล้วพลันหัวเราะขึ้นมา เอามือตบไหล่ฉินเผิงเบาๆพูดว่า “ต้าเผิง ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย เชื่อใจฉัน ขบวนรถของนายต้องไม่มีปัญหาแน่นอน!”

………………………………………………....