บทที่ 46 พรหมลิขิต
หลังจากขอบคุณศาสตราจารย์ทั้งสองแล้ว ฉินสือโอวก็นำตราประทับเจี๋ยอันออกจากสถาบันวิเคราะห์วัตถุโบราณ
ศาสตราจารย์ชราทั้งสองทำใจไม่ได้ที่จะส่งฉินสือโอวจากไป พวกเขาต้องการให้ทิ้งตราประทับไว้เพื่อวิจัยต่อเป็นอย่างมาก แต่ด้วยความเคอะเขิน จึงรู้สึกเกรงใจที่จะเอ่ยปากออกไป
ตราประทับนี้เป็นสมบัติล้ำค่าอย่างมาก ฉินสือโอวไม่อยากอยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงแสร้งทำเป็นมองเจตนาของสองคนนี้ไม่ออก สุดท้ายก็นำตราประทับจากไป
สมัยที่อวี๋เชียน อวี๋เสาเป่าส่งคืนตราประทับ ไม่แน่ก็อาจจะมีความรู้สึกทำใจไม่ได้เหมือนศาสตราจารย์ทั้งสองก็เป็นได้ แต่ว่าไม่เหมือนกันตรงที่อวี๋เชียนสามารถเก็บตราประทับนี้ไว้ได้ เดิมที นี่ก็คือสิ่งที่คนอื่นตั้งใจที่จะมอบให้แก่เขา
แต่ว่า สุดท้ายอวี๋เชียนก็ยังคงนำตราประทับมอบให้แก่เจ้าของ ทั้งที่สุดท้ายแล้ว มันก็ไปไม่ถึงมือเจ้าของ
จากตรงนี้สามารถทราบได้ว่า อวี๋เชียน สมควรที่จะถูกเรียกว่าบุคลากรคนสำคัญ เป็น ‘ปราชญ์แห่งต้าหมิง’ ความซื่อสัตย์และคุณธรรมของเขาทำให้คนรุ่นหลังต้องตะลึง
คุณค่าของคนคนหนึ่ง ไม่อาจตัดสินจากสิ่งที่เขาทำไว้ตอนยังเป็นคน แต่ตัดสินจากสิ่งที่เขาหลงเหลือไว้หลังจากตายไปต่างหาก
ฉินสือโอวรู้ว่าตนเองไม่ได้เป็นคนยิ่งใหญ่เสมือนอวี๋เชียน หากว่าเขายังอยู่ในประเทศ เขาก็ไม่รังเกียจที่จะทิ้งตราประทับให้ศาสตราจารย์ทั้งสองตรวจสอบดู
แต่ว่าตอนนี้เขาถือสัญชาติแคนาดาแล้ว เขากังวลว่าหากศาสตราจารย์ทั้งสองทราบเรื่องนี้ในภายหลัง แล้วจะแจ้งรัฐบาลยึดตราประทับนี้ อย่าโทษว่าเขาเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยเลย แต่รัฐบาลได้กระทำลักษณะนี้มามากกว่า 1-2 ครั้งแล้ว
เหมาเหว่ยหลงพาฉินสือโอวและเออร์บักไปส่งที่สนามบิน ในขณะที่รอขึ้นเครื่องบิน กลุ่มพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินต่างใส่ส้นสูงเดินตึกๆ เข้าไปในห้องโถง
ฉินสือโอวเงยหน้าเพื่อจะดูสาวงาม เบื้องหน้า สายตากลับปะทะกับเงาร่างที่คุ้นเคย ที่แท้ก็คือวินนี่!
“ไงครับ คุณวินนี่” ฉินสือโอวรีบก้าวเข้าไปทักทายอย่างรวดเร็ว
“ไงคะ คุณฉิน บังเอิญจริงๆ” วินนี่กล่าวอย่างดีใจ ขนตายาวกะพริบเคลื่อนไหว ราวกับผีเสื้อน้อยน่ารัก 2 ตัวกระพือปีก
ฉินสือโอวผายมือของเขาแล้วพูดว่า “ไม่น่าเชื่อเลย คุณวินนี่ จริงๆ ผมนึกคำพูดไม่ออกเลย นอกจากคำว่า เหลือเชื่อ”
“แต่ความจริงแล้วมีคำอื่นอีก นั่นก็คือพรหมลิขิต ใช่ไหมคะ?” วินนี่ยิ้มด้วยรอยยิ้มอันมีเสน่ห์เปล่งประกายอย่างชัดเจน พาให้เหล่าผู้ชายในห้องรอเครื่องบินต่างก็โกลาหลขึ้นมาทันที
ฉินสือโอวหยิบตั๋วเครื่องบินมาถามว่า “คุณอยู่ในเครื่องบินเที่ยวนี้เหรอ?”
วินนี่พยักหน้ายิ้มและพูดว่า “ใช่ค่ะ ฉันบินเที่ยวนี้ ขอฉันดูที่นั่งคุณหน่อย ตอนนี้ฉันจะรีบขึ้นเครื่องบินไปตรวจสอบความสะอาด อีกสักครู่พอคุณขึ้นเครื่องแล้ว รอฉันไปพบคุณ ตกลงไหมคะ?”
ขณะที่เตรียมจะจากไป วินนี่สังเกตเห็นว่าฉินสือโอวเตรียมจะนำหมูน้อยและไก่น้อยขึ้นเครื่องบิน ก็หยุดเดิน และพูดกับเขาว่า “คุณจะนำพวกมันขึ้นเครื่องด้วยเหรอ? ถ้าแบบนั้นตอนนี้ต้องเลิกให้อาหารมันแล้วล่ะ เพื่อลดโอกาสที่มันจะต้องขับถ่ายในกรง รู้ไหมคะว่าการขับถ่ายบนระดับความสูงเป็นเรื่องเครียดสำหรับสัตว์มากค่ะ”
“นอกจากนี้ คุณต้องไปที่ห้องตรวจสอบของสนามบินต้นทางก่อน เพื่อตรวจสอบข้อมูลประจำตัวของสัตว์เลี้ยงและใบรับรองการกักกัน เพื่อป้องกันความล่าช้าของเที่ยวบิน”
“จะเป็นการดีที่สุดที่จะหาศูนย์นำเข้าสัตว์เลี้ยงที่มีชื่อเสียง เช่น เพ็ท-อิมมิแกรนท์ นัดพบเจ้าตัวน้อยเหล่านี้เพื่อทำการตรวจสอบอย่างมืออาชีพที่สนามบินโทรอนโตล่วงหน้า และดำเนินการดูแลสุขภาพในระดับต่างๆ ตามสถานการณ์ แบบนี้จึงจะสามารถรับรองความแข็งแรงของพวกมันได้"
หลังจากได้รับการบอกกล่าว วินนี่จ้องไปยังฉินสือโอวด้วยดวงตาที่สดใสเป็นประกายดุจดั่งภูผาและลำธาร ทั้งบริสุทธิ์และน่าหลงใหล เธอยิ้มน้อยๆ ก่อนที่จะจากไป
ฉินสือโอวมองตามส่งวินนี่ขึ้นเครื่องบิน ได้แต่ส่ายหน้าและถอนหายใจ รู้สึกเสียดายในพรหมลิขิตครั้งนี้
เออร์บักยืนอยู่ข้างๆ ยิ้มน้อยๆ ไม่พูดจา เมื่อฉินสือโอวสังเกตเห็น ก็รู้สึกตัวทันทีและพูดว่า “คุณตั้งใจจองเที่ยวบินลำนี้ใช่ไหม?”
“แล้วนายคิดว่ายังไงล่ะ? คิดจริงๆ เหรอว่าสวรรค์ช่างเอื้อให้นายสองคนได้พบกัน? พ่อหนุ่ม ขอฉันสอนอะไรหน่อยนะ พรหมลิขิตของชายหญิง ทั้งสองฝ่ายก็ต้องร่วมมือกันสร้างขึ้นมาด้วย ไม่ใช่จะรอแต่สวรรค์จัดสร้าง” เออร์บักกล่าว
ฉินสือโอวกำลังจะขอบคุณ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น เป็นเบอร์แปลกหน้า หลังจากที่รับสาย ก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยของฝ่ายตรงข้าม “ไง สหายสัตว์ปีก เจ้าสัตว์ป่า ฉันคือโหลวมู่ชิง สวัสดีจ้ะ”
โหลวมู่ชิงเหรอ? ฉินสือโอวรู้สึกตกใจเล็กน้อย? ทำไมเธอคนนี้ถึงมีเบอร์โทรศัพท์ของเขาได้?
ราวกับรู้ว่าเขาสงสัยอะไรอยู่ โหลวมู่ชิงก็หัวเราะสดใสขึ้นมาในโทรศัพท์ “ฉินเผิงให้เบอร์มาน่ะ ได้ยินมาว่านายออกจากบ้านแล้วเหรอ? กลับถึงเมืองไหเต่าหรือยัง?”
ฉินสือโอวหัวเราะอย่างขมขื่น จากนั้นจึงอธิบายเรื่องราวของตนให้ฟัง สุดท้ายก็กล่าวว่า “ฉันอยู่ที่สนามบิน ประเดี๋ยวก็จะบินไปถึงนิวฟันด์แลนด์แล้ว”
“อ้อ” น้ำเสียงของโหลวมู่ชิงแฝงไปด้วยความผิดหวัง “ฉินเผิงไม่ได้บอกให้ละเอียด ฉันยังคิดว่านายทำงานอยู่ที่ไหเต่าอยู่เลย เอาล่ะ ไม่รบกวนแล้วนะ เดินทางปลอดภัย หวังว่ามีโอกาสจะได้พบกัน”
แม้ว่า โหลวมู่ชิงจะลักษณะงดงามราวเทพีOL[footnoteRef:1] แต่ว่านิสัยตรงไปตรงมา เป็นแฟนสาวที่ชายหนุ่มวาดฝันไว้ว่าอยากจะมี ฉินสือโอวรู้สึกได้ว่า ฝ่ายตรงข้ามมีความรู้สึกดีๆ ต่อเขา เสียดาย สุดท้ายแล้วทั้งสองก็ไม่อาจได้สมหวังกัน [1: Goddess OL เป็นเกมแอคชั่นสวมบทบาทรูปแบบ 3 มิติบนมือถือ โดยอ้างอิงจากตำนานและเรื่องราวตะวันออกและตะวันตก ]
เออร์บักรอเขาวางสาย ยิ้มแล้วพูดว่า “พ่อหนุ่ม ดูเหมือนดอกท้อของนายจะอยู่ตรงนี้นะ”
ฉินสือโอวยิ้มแล้วตอบว่า “ผมยอมรับว่าสาวที่ยอดเยี่ยมมากโทรศัพท์มาหาผม แต่พวกเรามีบุญแต่ไร้วาสนา อาจจะได้เป็นเพื่อนกัน แต่ก็เป็นแค่เพื่อนเท่านั้น”
“มีบุญไร้วาสนาเหรอ?” เออร์บักหัวเราะ “ฉันก็เพิ่งจะสอนไป พรหมลิขิตคือสิ่งที่สองฝ่ายร่วมกันสรรค์สร้าง ไม่ใช่จะรอแต่ให้สวรรค์บันดาล นายกับวินนี่จะมีพรหมลิขิตไหม? ถ้าไม่มีฉันสักคน ชะตากรรมของพวกนายก็คงหยุดตั้งแต่เที่ยวบินรอบแรกแล้ว”
ฉินสือโอวยิ้มๆ ไม่ได้อธิบายต่อ เขาไม่เคยมีความรักกับใคร รู้สึกโหยหาความรักอย่างมาก แต่ว่าเขาไม่สามารถใช้ความรักเป็นข้ออ้างในการจีบสาวไปทั่วได้ เขาต้องการจีบวินนี่ ซึ่งเขาทั้งสองมีแนวโน้มที่จะเป็นไปได้มากกว่า
ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง ความรักล้วนแต่เป็นเรื่องเห็นแก่ตัว พวกชายหนุ่มประเภทที่บอกว่าสามารถรักผู้หญิงหลายคนได้ในเวลาเดียวกันเป็นพวกสารเลวอย่างแน่นอน ฉินสือโอวเข้าใจเช่นนี้
เมื่อขึ้นเครื่องบินแล้ว วินนี่ก็มาหาเขาอย่างรวดเร็วมาก เธอส่งกาแฟให้แก่เออร์บักและฉินสือโอว และยืนย่อเข่าครึ่งหนึ่งด้วยท่วงท่าสง่างามอยู่ด้านหลัง
“คุณทำแบบนี้คงจะเหนื่อยมาก ไม่อย่างนั้น คุณมานั่งเถอะ?” ฉินสือโอวกล่าว
ดวงตากลมโตของวินนี่กะพริบไปมาอย่างซุกซน และบอกว่า “ไม่เป็นไรค่ะ ชินแล้วล่ะ ฉันได้รับการฝึกฝนมาก่อน”
ครั้งแรกที่ติดต่อกับผู้หญิงแบบนี้ ฉินสือโอวก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย แต่ว่าเขามั่นใจได้อย่างหนึ่งว่า วินนี่ไม่ได้รังเกียจเขา มิฉะนั้นคงไม่เริ่มก่อนเช่นนี้
ดังนั้น เขาจึงได้ตัดสินใจเดินหน้าอย่างห้าวหาญ กล้าที่จะพูดออกไปว่า “วินนี่ คุณพอมีเวลาว่างเมื่อไรครับ? ผมอยากเชิญคุณไปเป็นแขกที่ฟาร์มปลาของผม”
วินนี่ยกมือของเธอรวบเส้นผมสีดำที่กระจัดกระจายอยู่มาทัดหลังหูไว้ ยิ้มอย่างนุ่มนวลและพูดว่า “ฉันไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไง บังเอิญเหลือเกิน ครั้งนี้บินถึงโทรอนโต ฉันก็มีเวลาพักพอดี หยุดครึ่งเดือนทีเดียวค่ะ”
ฉินสือโอวรู้สึกยินดีอย่างมาก เขาเข้าใจความหมายของวินนี่ได้โดยทันที หญิงสาวได้ยอมรับการชักชวนของเขาแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นพบกันที่โทรอนโตครับ” ฉินสือโอวเอื้อมมือไปประคองวินนี่ให้ลุกขึ้น “คุณไม่ต้องยืนย่อแบบนี้แล้ว ผมเคยย่อแบบนี้มาก่อน รู้สึกเหนื่อยเกินไป คุณไปพักผ่อนเถอะ หลังลงจากเครื่องบินที่โทรอนโต ผมจะรอคุณ”
วินนี่ยิ้มหวาน ครั้งนี้ไม่ได้ปฏิเสธ เธอก้าวเท้าจากไปด้วยความยินดี
“ผมนี่ช่างเป็นปราชญ์นักรักจริงๆ” ฉินสือโอวโอ้อวดอย่างสบายใจว่า “เฮ้อ อาจเป็นเพราะผมเกิดมาหล่อเกินไปหรือเปล่านะ? เห็นแค่สองครั้งเท่านั้น ผมก็สามารถเชิญสาวแสนดีขนาดนี้ได้แล้ว”
เออร์บักกลอกตาของเขาแล้วพูดว่า “ขอร้องล่ะ อย่าทำให้ฉันรู้สึกอยากอ้วกจะได้ไหม ถ้านายเป็นปราชญ์นักรักจริงก็ควรจะนัดเธอไปเจอในห้องน้ำ ไม่ใช่พูดอะไรอย่าง ‘รู้สึกเมื่อยเกินไป คุณไปพักผ่อนเถอะ’ ”
ฉินสือโอวกัดริมฝีปากบอกว่า “ผมเป็นปราชญ์นักรัก ไม่ใช่มนุษย์หุ่นยนต์ ผมไม่คิดจะทำเรื่องน่าละอายแบบนั้นหรอก”
เออร์บักหัวเราะฮ่าๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก
ผ่านไปครู่หนึ่ง ฉินสือโอวสงสัยพลางถามว่า “ตาเฒ่า ถ้าเมื่อครู่นี้ผมนัดเธอไปที่ห้องน้ำจริงๆ คุณว่าเธอจะตอบตกลงไหม?”
ชายโสดเป็นกังวล
เออร์บักยิ้มและพูดว่า “เธอคงจะตบนายหน้าหันทีเดียว”
…………………………………………………………