ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

บทที่ 45 ไม่ได้เป็นเพียงสมบัติล้ำค่า

เมื่อกลับมาถึงก็มาพร้อมกองของน้อยใหญ่ จะจากไปก็ไปพร้อมกองของน้อยใหญ่เช่นกัน

เมล็ดพันธุ์ผักต่างๆ ขนมยัดไส้ที่คุณแม่ลงมือทำด้วยตนเอง ข้าวมันที่คุณพ่อทำ ผลไม้สำหรับทานระหว่างทาง เนื้อตากแห้งอันมีชื่อเสียงของบ้านเกิด เหล้าขาวนานาชนิด ทำให้ฉินสือโอวไม่อาจที่จะไม่เช่ารถมาขับได้

สิ่งที่ยิ่งยุ่งยากกว่านั้น ฉินสือโอวยังนำลูกหมู 10 ตัว ไก่บ้านฝูงหนึ่งไปด้วย สิ่งเหล่านี้เอาขึ้นเครื่องบินได้ยากลำบากเป็นอย่างมาก ฉินสือโอวจึงตัดสินใจเช่ารถขับเข้าเมืองหลวง

พาสิ่งเหล่านี้พวกนี้มาถึงเมืองหลวง หลังจากที่เหมาเหว่ยหลงเห็นดวงตาก็เหยียดตรง และพึมพำว่า “แม่เจ้าโว้ย สัตว์ปีก สัตว์ป่า นี่คิดจะเปิดฟาร์มปลา หรือว่าฟาร์มเพาะปลูกกันแน่เนี่ย?”

ฉินสือโอวนำกองของน้อยใหญ่โยนให้เหมาเหว่ยหลง พูดอย่างอารมณ์ไม่ดี “แกดูแลไหวไหม? คิดวิธีสิ ของพวกนี้ผ่านศุลกากรและด่านกักกันสัตว์ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แน่”

เหมาเหว่ยหลงรีบตกหน้าอก และพูดว่า “ไหวสิไอ้น้อง นี่มันเรื่องง่ายๆ เลยไม่ใช่เหรอ? ให้พ่อฉันโทรศัพท์ไม่กี่ครั้ง รับรองเลยว่าไม่ต้องห่วง”

ที่ปักกิ่ง ฉินสือโอวและเออร์บักหยุด 2 วัน ได้เดินเล่นทั่วทั้งกำแพงเมืองจีนด่านปาต๋าหลิ่ง พระราชวังต้องห้าม เทียนอันเหมิน ย่านการค้าตงตัน หวังฝูจิ่ง จัตุรัสว่านต๋า ก็ไปกวาดมาหมด ……

มื้อเช้าที่ร้านจิงปาเจิน มื้อเที่ยงที่ร้านเป็ดย่างฉวนจวี้เต๋อ มื้อเย็นเป็นเนื้อแกะหม้อไฟภัตตาคารตงไหลซุ่น จากนั้นไปผับที่ซานหลี่ถุนเที่ยวถึงครึ่งคืน นี่คือแผนการเดินทางที่ปักกิ่งซึ่งเหมาเหว่ยหลงเตรียมไว้ให้กับฉินสือโอว

เที่ยวอยู่ 2 วัน ฉินสือโอวก็รู้สึกเหนื่อยจนทนไม่ไหว คุ้นเคยชีวิตอันแสนสงบที่เมืองแฟร์เวลเสียแล้ว ผ่านวันคืนแห่งแสงสีราตรีเช่นนี้ เขาไม่ค่อยจะคุ้นเคยเท่าไร

เส้นสายของเหมาเหว่ยหลงแข็งแรงมาก ใช้เวลา 2 วัน เอกสารของทั้งหมูบ้าน ไก่บ้านก็ครบถ้วนสมบูรณ์

สำหรับปศุสัตว์และสัตว์ปีกดังกล่าว หากต้องการเข้าและออกจากประเทศแคนาดา จะต้องใช้ใบตราส่งสินค้าและใบรับรองการฉีดวัคซีน แคนาดาเป็นประเทศเกษตรกรรมที่ใหญ่ ดังนั้นมาตรฐานการตรวจสอบสำหรับสัตว์ปีกและปศุสัตว์ยังค่อนข้างต่ำ และไม่จำเป็นต้องกักกันสัตว์เพื่อตรวจสอบ เพียงแค่นำส่งใบรับรองสุขภาพที่ออกมาภายใน 10 วันก็เป็นอันใช้ได้

ใบรับรองสุขภาพนี้ จะมุ่งเน้นไปที่การตรวจสอบโรคพิษสุนัขบ้า โรคพีอาร์อาร์เอส[footnoteRef:1] และโรคปากเท้าเปื่อยในปศุสัตว์ และสัตว์ปีกเป็นการตรวจสอบโรคไข้หวัดนก ตราบใดที่การตรวจโรคร้ายแรงเหล่านี้สามารถผ่านไปได้ เช่นนั้นการเข้าประเทศแคนาดาก็ไม่มีปัญหาแล้ว [1: โรคพีอาร์อาร์เอส หรือ Porcine reproductive and respiratory syndrome เป็นกลุ่มอาการของโรคในระบบสืบพันธุ์ และระบบทางเดินหายใจในสุกร ทำให้แม่สุกรแท้ง ลูกตายแรกคลอดสูง อัตราการผสมติดต่ำ ลูกสุกรแคระแกร็น โตช้า ติดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย]

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวค่อนข้างตกตะลึงก็คือ ศุลกากรของแคนาดายังต้องการติดชิปให้กับสัตว์ใหญ่ เช่น หมู เพื่อบันทึกชาติพันธุ์หมูและการจำแนกประเภทของมัน โดยต้องยอมรับการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ

เมื่อเตรียมตัวออกจากปักกิ่ง ฉินสือโอวอยู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่ามีเรื่องที่ต้องการให้เหมาเหว่ยหลงช่วยเหลือ เขานำตราประทับหินสีส้มอำพันที่ได้มาจากแม่น้ำไป๋หลงก่อนหน้านี้ออกมาถ่ายภาพ เพื่อให้เหมาเหว่ยหลงนำไปถามเพื่อนในแวดวงหยกช่วยดูว่า นี่คืออะไร

ทันทีที่ได้เห็นตราประทับหิน เหมาเหว่ยหลงก็แสดงออกว่าตัดสินเหมือนกับฉินสือโอว “แกไปเอาของชิ้นนี้มาจากไหน? นี่เป็นสมบัติล้ำค่านะ ช่างสวยงามเกินไปแล้ว!”

ฉินสือโอวมองเหมาเหว่ยหลงที่ไม่ยอมวางมันลง เขาก็คว้ามันกลับมาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม "อย่าคิดว่าผมไม่รู้นะ ว่าคนเจ้าเล่ห์อย่างคุณกำลังวางแผนอะไรน่ะ คุณต้องการจะขัดมันจนเงาคามือคุณเพื่อทำตราประทับของตัวเองใช่ไหมล่ะ?"

เหมาเหว่ยหลงหัวเราะ “มีความคิดแบบนี้จริงๆ ครับ”

นำรูปไปไม่นาน เหมาเหว่ยหลงก็โทรศัพท์มาด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น ถามว่า “ขอถามอะไรจริงจังสักเรื่องเถอะ หนึ่ง สัตว์ปีก สัตว์ป่า พวกนี้แกเอามาจากไหน?”

ฉินสือโอวฟังน้ำเสียงโทนปกติของเหมาเหว่ยหลงก็ทราบได้ว่า มูลค่าของสิ่งเหล่านี้อาจเกินกว่าความคาดคะเนของตน หวนคิดว่าตราประทับหินนี้อยู่รวมกับเหรียญเงินราชวงศ์หมิงเหล่านั้น ภายในใจเขาก็ตื่นเต้น “นี่คือมรดกของครอบครัวตาฉัน ว่ากันว่ามันถูกส่งลงมาจากราชวงศ์หมิง มีอะไรหรือเปล่า?”

“งั้นก็ใช่เลย แกต้องรีบเอามันไปที่สถาบันวิเคราะห์วัตถุโบราณปักกิ่ง รีบมา!” เหมาเหว่ยหลงกล่าว

ฉินสือโอวไม่เข้าใจความหมายของเหมาเหว่ยหลง ไม่ใช่ว่าให้เขานำไปถามผู้เชี่ยวชาญในแวดวงหยกหรอกเหรอ ทำไมจึงไปติดต่อกับสถาบันวิเคราะห์วัตถุโบราณเสียแล้ว?

เมื่อนั่งรถไปถึงสถาบันวิเคราะห์วัตถุโบราณปักกิ่ง เหมาเหว่ยหลงที่รออยู่ด้านนอก เมื่อเห็นหน้าเขา ก็ถามว่า “แกเอาตราประทับมาด้วยไหม?”

ฉินสือโอวผงกหัว เหมาเหว่ยหลงไม่พูดมาก รีบพาฉินสือโอวเข้าไปในสำนักงานแห่งหนึ่ง ภายในมีคนชราซึ่งศีรษะขาวโพลนนั่งรออยู่อย่างร้อนใจ

เมื่อทั้ง 2 ฝ่ายได้พบหน้า ชายชรา 2 คนก็ขอดูตราประทับ จากนั้นก็หยิบแว่นขยายออกมาพลางรวบรวมสมาธิเพื่อส่องดูมัน

ฉินสือโอวแอบกระซิบถามว่า “ทำไมเหรอ นี่คืออะไร?”

เหมาเหว่ยหลงกะพริบตาอย่างลึกลับพลางพูดว่า "เดี๋ยวก็รู้ พระเจ้าช่วย แกนี่โชคดีจริงๆ เป็นลูกพระเจ้ามาเกิดเหรอ? ปู่แกทิ้งรูปปั้นทองสัมฤทธิ์ไว้ให้ แถมตอนนี้ตาของแกก็ยังทิ้งสมบัติล้ำค่าไว้ให้อีก"

ชายชราทั้งสองตรวจสอบอยู่ร่วมครึ่งชั่วโมงกว่า จากนั้น 1 ในชายชราก็วางแว่นขยายลงทอดถอนใจพลางกล่าวว่า “แท้จริงแล้วตราประทับเจี๋ยอันนี้ยังคงมีอยู่จริง! แต่ไหนแต่ไรมา ผมคิดว่ามันเป็นแค่เพียงเรื่องเล่าขานตำนานพื้นบ้าน ใครจะรู้ว่าผมเข้าใจผิดร้ายแรง!”

เหมาเหว่ยหลงแนะนำให้ฉินสือโอวรู้จักด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ชายชราสูงอายุแซ่กัว เรียกท่านว่าคุณกัวก็ได้ เป็นนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญด้านโบราณคดีหมิงและชิง จากมหาวิทยาลัยชิงหวาดูแลนักศึกษาปริญญาเอกเป็นพิเศษ เก่งกาจเป็นอย่างมาก อีกท่านคือคุณจง วิจัยอักษรโบราณ ท่านเป็นศาสตราจารย์เช่นกัน ท่านทั้งสองล้วนแต่เป็นนักวิจัยด้านหยก”

หยุดไปครู่หนึ่ง เขาก็เริ่มพูดอีกครั้ง “ตอนที่แกให้ฉันดูตราประทับนี้ ฉันคิดว่ามันต้องเป็นหินเถียนหวาง[footnoteRef:2]แน่นอน แกรู้จักหินเถียนหวางไหม?” [2: หินเถียนหวาง คือ หินสีเหลืองทองชนิดหนึ่งซึ่งนำมาใช้ทำหยก]

ฉินสือโอวส่ายหัวอย่างว่างเปล่า เหมาเหว่ยหลงมองเขาอย่างเหยียดหยามทันที ฉินสือโอวได้แต่ถามอย่างสงสัย “เป็นหยกชนิดหนึ่งเหรอ?”

“เป็นหยกที่ล้ำค่าที่สุด!” เหมาเหว่ยหลงกัดฟันพูด “ล้ำค่าที่สุด ล้ำค่าที่สุด!”

ชายชราทั้งสองเก็บแว่นตาและนั่งลงตรงข้ามฉินสือโอว คุณกัวกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “พ่อหนุ่ม มรดกตกทอดของคุณชิ้นนี้ เป็นสมบัติล้ำค่าจริงๆ ผมขออธิบายให้คุณฟังสักหน่อยนะ”

“ตัวอักษรบนตราประทับนี้ ล้วนแต่เป็นลักษณะตราประทับ และเป็นตัวอักษรพิเศษในราชวงศ์ถัง ราชวงศ์ซ่ง ราชวงศ์หยวน และราชวงศ์หมิง อักษรบนตราประทับเป็นอักษรเฉพาะ ในบรรดาอักษร อักษรบนตราประทับสองแถวที่อยู่ด้านบน แถวซ้ายคือ ‘เลื่องชื่อหมื่นปี’ แถวขวาคือ ‘ห่วงชาติลืมตน’”

“นอกจากนี้ ทั้งซ้ายขวาหน้าหลังบนหินใช้อักษร 4 ประโยค เป็นกลอน 7 คำ 4 วรรค ว่า ‘ผ้าเช็ดหน้าเห็ดและยาเส้น เดิมเป็นประชาใช้ต้านภัย ลมโชยแขนเสื้อขึ้นฟ้าไป[footnoteRef:3] พลเมืองทุกข์ใจไม่คลาย[footnoteRef:4]’ คุณทราบหรือไม่ว่ากลอน 4 วรรคนี้คืออะไร?” คุณจงถามแทรกขึ้นมา [3: คนสมัยก่อน ใส่ของมีค่าไว้ในแขนเสื้อ] [4: กลอนเสียดสี การทุจริตรัฐที่นำมาซึ่งภัยพิบัติสู่ประชาชน ]

ฉินสือโอวยิ้มอย่างอึดอัด เขาชอบบทกลอนเป็นอย่างมาก แต่ว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ไม่เคยได้ยินบทกวีทั้ง 4 วรรคนี้

คุณจงถอนหายใจและพูดว่า “เป็นธรรมดา บทกวีนี้ไม่ได้เป็นที่โด่งดังนัก ผมอ่านให้คุณฟัง คุณก็น่าจะพอนึกออก”

“ค้อนนับพันสิ่วนับหมื่นขุดขุนเขา เปลวเพลิงเผาลุกลามคุกคามครัน พลันร่างแตกแหลกเหลวไม่หวาดหวั่น ขอฝังความบริสุทธิ์บนผืนดิน”

“หย่งสือฮุย[footnoteRef:5] นี่คือบทกวีของอวี๋เชียน!” ฉินสือโอวรีบพูด [5: 咏石灰 บทกวีที่เปรียบเปรยตนเองกับหินปูน ที่แม้จะถูกค้อนตอก ไฟลนก็ยังคงความบริสุทธิ์]

คุณจงยิ้มแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว บทกวีนี้อวี๋เชียนเขียนขึ้นจากกลอนของอวี๋เสาเป่า กลอนทั้งสองบท ล้วนแต่เป็นผลงานชิ้นเอกของเขา บนตราประทับท่อนนี้ ชื่อว่า ‘เข้าเมือง[footnoteRef:6]’ เป็นผลงานเมื่อครั้งอวี๋เสาเป่าเดินทางจากซานซีไปยังเมืองหลวงเพื่อเป็นเจ้าหน้าที่” [6: 入京แปลว่าเข้าเมือง]

ในหัวของฉินสือโอวสว่างวาบ และพูดขึ้นว่า “ผมนึกออกแล้ว ‘ลมโชยแขนเสื้อ’ คำนี้ ก็มาจากบทกวีนี้ด้วยใช่หรือเปล่าครับ?”

คุณกัวลูบเครายิ้มๆ “ไม่เลว เป็นเช่นนั้นจริงๆ” เขาพลิกตราประทับ ชี้ไปยังด้านล่างที่สุด เห็นอักษรบนตราประทับขนาดใหญ่ “อักษรสี่ตัวนี้คือ ‘ประทับเจี๋ยอัน’ ตราประทับนั้นมีชื่อของอวี๋เชียน!”

ทันใดนั้น ฉินสือโอวได้ฟังก็เข้าใจ เขาเสียงสั่นในทันที “ตราประทับนี้ คือตราประทับที่อวี๋เชียนใช้เมื่อมีชีวิตเหรอครับ?”

ถ้าหากว่าเป็นเช่นนี้จริงๆ ตราประทับนี้ก็ไม่ได้เป็นแค่สมบัติล้ำค่า แต่มันคือสมบัติชาติ!

อวี๋เชียนเป็นใครมาจากไหน นั่นคือเสาหลักที่คู่ควรของประเทศที่ไร้ยางอาย เป็นกระดูกสันหลังของจีน วีรบุรุษแห่งชาติ! หากต้องการชมเชยเขา คุณจะใช้คำพูดใดก็ไม่อาจเหมาะสมได้! นี่คือชายผู้ยิ่งใหญ่ที่ประคับประคองเผ่าพันธุ์ชาติอย่างไม่ย่นย่อ เป็นชายผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์!

ครั้งที่เรียนมัธยม ฉินสือโอวยกย่องวีรบุรุษกอบกู้ชาติพันธุ์สองท่าน อันได้แก่ เยว่เฟยและอวี๋เชียน!

คุณกัวส่ายหัวและพูดว่า "ไม่ได้เป็นเช่นนี้ ตราประทับนี้ อวี๋เชียนไม่เคยใช้มาก่อน ตามบันทึก ‘ประวัติศาสตร์ของราชวงศ์หมิง’ ในรัชสมัยจักรพรรดิอิงจง ปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านตราประทับแห่งฝูเจี้ยนผู้หนึ่งทำตราประทับขึ้นเพื่ออวี๋เชียนโดยเฉพาะ และใช้วัสดุที่ใช้หินเถียนหวางที่ดีที่สุดเท่าที่พบได้ในเวลานั้น”

“ในเวลาต่อมา หลังจากที่มอบตราประทับเจี๋ยอันนี้ให้กับอวี๋เชียน อวี๋เชียนก็ชอบมาก แต่เพราะว่าเป็นของล้ำค่ามาก เขาจึงไม่ยอมรับ หลังจากสังเกตการณ์มานานกว่าหนึ่งเดือน ก็มอบให้เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่มาจากเมืองหลวง และไปมาระหว่างเมืองฝูเจี้ยนและเมืองหลวงในขณะนั้นนำกลับไป”

“ความตอนนี้ได้บันทึกอยู่ใน ‘ประวัติศาสตร์ของราชวงศ์หมิง’ แต่ว่าตราประทับเจี๋ยอันนี้ไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์มาก่อน ดังนั้นต่อมา เมื่อนักประวัติศาสตร์ศึกษาเรื่องนี้ ก็ล้วนแต่เข้าใจว่าเป็นเพียงการที่ผู้เขียนเรื่องนี้ต้องการแสดงถึงความใจซื่อมือสะอาดของอวี๋เชียนจึงได้แต่งเรื่องนึ้ขึ้น แต่กลับไม่คิดเลยว่าสมบัติล้ำค่านี้ แท้จริงแล้วยังมีอยู่จริงๆ!”

ฉินสือโอวเข้าใจแล้ว อัฐิในแม่น้ำไป๋หลงนั้น คงจะเป็นเจ้าหน้าที่ฝูเจี้ยนคนนั้น

เจ้าหน้าที่คนนั้นได้นำเรือขนเงินลำหนึ่งกลับมาจากเมืองหลวง และในเวลาเดียวกันก็ได้นำตราประทับนี้กลับมาด้วย แต่สุดท้ายไม่แน่ว่าเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้น เรือจึงตกลงไปยังก้นแม่น้ำ แม้กระทั่งตราประทับก็จมลงไปพร้อมกับหีบบรรจุเงิน 50 กว่าหีบและถูกปกคลุมไปด้วยตะกอน

เหมาเหว่ยหลงถาม “คุณกัว คุณจง เช่นนั้นตราประทับนี้ก็มีค่าเป็นพิเศษใช่ไหมครับ?”

เมื่อได้ยินถ้อยคำนี้ ทันใดนั้น คุณกัวและคุณจงก็จ้องเขม็งคิ้วเหยียดตรงด้วยความโกรธ เขาก็เกือบจะตะโกนอย่างพร้อมเพรียงกัน "มีค่า? ของสิ่งนี้ไม่สามารถวัดค่าด้วยเงินได้! รู้ไหมว่านี่คืออะไร? นี่คือสมบัติชาติที่ได้รับการบันทึกไว้ใน ‘ประวัติศาสตร์ของราชวงศ์หมิง’ ประเมินค่าไม่ได้! ถ้าหากว่าขายจริงๆ นักสะสมทั้งหมดคงยอมล้มละลายเพื่อแลกเปลี่ยนมัน!"

“ผมไม่คิดจะขาย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมก็ไม่คิดจะขาย!” ฉินสือโอวกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว

คุณกัวและคุณจงพยักหน้าอย่างยินดีพร้อมพูดว่า “ใช่แล้ว พ่อหนุ่ม ของชิ้นนี้อย่าได้ขาย นี่คืออัญมณีของชาติของเรา! สิ่งนี้คือตราประทับล้ำค่าที่อวี๋เสาเป่าเคยใช้ เทียบกับตราประทับหยกของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์หมิงก็ยังล้ำค่ากว่า! แน่นอน แน่นอนว่าต้องเก็บรักษามันให้ดี!"

……………………………………….