ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

บทที่ 44 กลับก่อนกำหนด

เช้าวันต่อมาคู่แต่งงานใหม่ตื่นแต่เช้าตรู่ ฉินเผิงเดินลงมาจากห้องหอด้วยอาการมึนๆ

แม่ของฉินเผิงกำลังหุงข้าว พอเห็นลูกชายที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยกลิ่นเหล้าเดินลงมาก็รู้สึกสงสาร รินน้ำร้อนส่งไปให้แล้วพูดว่า

“ดื่มอะไรร้อนๆ สักหน่อยเร็วเข้า ไอ้หยา เมื่อคืนคงสนุกกันสุดเหวี่ยงไปเลยสิเนี่ย!”

ทั้งที่งานแต่งเมื่อวานตอนกลางวันและตอนพิธีปลุกห้องเจ้าสาวตอนกลางคืน เพื่อนของฉินเผิงทำเอาร่างกายของฉินเผิงและเหยียนลี่ลี่เกือบจะฉีกเป็นชิ้นๆ

ตามธรรมเนียมการปลุกเจ้าสาวของเมืองผิงเฉิง มีอยู่เกมหนึ่งที่พิธีกรจะแสดงอะไรบางอย่างและภรรยาต้องใบ้คำตอบให้กับสามี ถ้าตอบผิดต้องดื่มหนึ่งแก้ว

สุดท้ายฉินเผิงถูกให้ดื่มเหล้าขาวไปเกือบครึ่งลิตรจนเมาหลับไป

ฉินเผิงดื่มชาร้อนแล้วถามว่า

“พ่อล่ะ?”

แม่ของฉินเผิงชี้ไปที่ห้องรับแขกแล้วพูดว่า

“กำลังแกะของขวัญแต่งงานอยู่ เมื่อวานลูกทำเอาวุ่นกันไปหมด ของขวัญแต่งงานเลยยังไม่ได้แกะ”

เหรินหมินปี้อาจจะเป็นสิ่งเดียวที่ได้รับความรักจากชาวจีนทุกคนในประเทศ ฉินเผิงได้สติจึงรีบวิ่งไปที่ห้องรับแขกทันที

ในห้องรับแขก ฉินเผิงเห็นพ่อกำลังนั่งอ่านกระดาษสามสี่ใบอยู่ที่โซฟา โต๊ะกาแฟด้านหน้าเต็มไปด้วยซองแดง แต่พ่อกลับไม่สนใจ

“อ่านอะไรอยู่เหรอพ่อ?” ฉินเผิงถามอย่างสงสัย

พ่อของฉินเผิงสั่นเล็กน้อยแล้วหายใจเข้าก่อนจะตอบว่า

“มาดูนี่สิ ของในซองแดงที่ฉินสือโอวให้ลูก พ่อว่ามันแปลกๆ”

ฉินเผิงรับกระดาษเหล่านั้นมาดู ทันใดนั้นเขาก็ต้องตกตะลึง กระดาษสามสี่ใบนี้เป็นหนังสือสัญญาเขียนว่าฉินสือโอวซื้อตึกหลังหนึ่งที่สี่แยกในเมืองหลวงของเทศมณฑลและปล่อยให้ฉินเผิงเช่าโดยคิดค่าปีละหนึ่งหยวน

ที่แนบมากับสัญญาเป็นข้อตกลงการซื้อขาย โฉนดยังไม่ออกแต่ได้ทำการจ่ายเงินเต็มจำนวนเรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้ก็เหลือแค่เอาสัญญาการซื้อขายไปยื่นเพื่อรับโฉนดก็เป็นอันเสร็จ

พอเห็นที่อยู่ฉินเผิงก็รู้สึกว่ามันคุ้นมาก ที่ตั้งของตึกหลังนี้มันคือตึกตรงสี่แยกที่เขาเคยพูดกันฉินสือโอวว่าอยากซื้อมาทำเป็นอู่ซ่อมรถนี่!

“ฉินสือโอวมันมีเงินเยอะขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

พ่อของฉินเผิงถามอย่างสงสัยว่า “เขาไม่ได้กำลังแกล้งแกเล่นหรอกใช่ไหม?”

“แกล้งอะไรเหรอ?” แม่ของฉินเผิงเดินเข้ามา ตามมาด้วยเหยียนลี่ลี่ที่ในมือก็ถือแก้ชาร้อนอยู่เหมือนกัน

ต่อมาสัญญาเช่าและสัญญาซื้อขายก็ถูกส่งให้กับสมาชิกในบ้านทั้งสี่คนดู ฉินเผิงวางสัญญาลงแล้วพูดว่า

“ผมขอโทรไปหาฉินสือโอวเพื่อถามเรื่องนี้ให้แน่ใจก่อนนะ”

ฉินสือโอวรู้สึกว่าของขวัญที่เขามอบให้นั้นแปลกใหม่ไม่เหมือนใครดี แต่เขาไม่รู้เลยว่ามันจะนำมาซึ่งความเดือดร้อนให้เขามากแค่ไหน

ขณะที่คนในบ้านฉินสือโอวกำลังนอนกลางวันกันอยู่ ก็มีคนมาเคาะประตูบ้านพ่อของฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูอย่างสะลึมสะลือ ภรรยาของผู้ใหญ่บ้านนำแตงโมเข้ามาให้ในบ้าน

“อ้าวพี่ใหญ่ นอนกันอยู่เหรอ? ฉันมารบกวนพวกพี่สิเนี่ย คืออย่างนี้นะ ฉันจำได้ว่าเสี่ยวโอวยังไม่มีแฟนใช่ไหม? ญาติฝ่ายแม่ฉันมีสาวน้อยอยู่คนหนึ่งไม่เลวเลย เธอก็ทำงานอยู่ที่เมืองไหเต่าเหมือนกัน ลองให้เด็กๆเขาคุยกันดูดีไหม พี่ว่ายังไง?”

สองปีมานี้สิ่งที่พ่อแม่ของฉินสือโอวกังวลมากที่สุดก็คือเรื่องแต่งงาน พวกเขาเคยลองให้แม่สื่อหาคู่ให้ ถึงแม้ว่าฉินสือโอวจะจบมหาวิทยาลัยแต่เงินเดือนเขาก็ไม่ได้มากมาย สมัยนี้จบมหาลัยก็ไม่มีค่าอะไรแล้ว ต้องพวกอวดรวยถึงจะดูมีค่ามีหน้ามีตาในสังคม ดังนั้นแม้ว่าจะมีคนแนะนำเด็กผู้หญิงให้ แต่คุณภาพของเด็กผู้หญิงเหล่านี้ไม่ค่อยดีนัก

ภรรยาของผู้ใหญ่บ้านหยิบโทรศัพท์หัวเว่ยจอใหญ่ออกมา พอมือนิ้วอวบๆ แตะลงไปก็มีภาพปรากฏขึ้นบนมาหน้าจอ ในรูปเป็นสาวสวยกำลังชูสองนิ้วยิ้มอย่างมีความสุข

“เด็กคนนี้หน้าตาดีจังเลย”

“ดีใช่ไหมล่ะ? เรียนจบมหาลัย การศึกษาสูง หน้าตาสะสวยแถมยังกตัญญูมากด้วยนะ ไม่ทำให้ฉินสือโอวขายหน้าแน่นอน”

“…”

พอส่งภรรยาของผู้ใหญ่บ้านกลับไปแล้ว ในมือพ่อของฉินสือโอวก็มีกระดาษเพิ่มมาใบหนึ่ง ในนั้นมีช่องทางการติดต่อสาวน้อยอยู่

ฉินสือโอวอยู่ห้องข้างๆ ได้ยินทุกสิ่งชัดเจน เขาไม่มีอารมณ์จะวิ่งไปนัดบอดถึงเมืองไหเต่าหรอกนะ โดยเฉพาะในเวลาเที่ยงตรงแบบนี้ ง่วงจะตาย เขาโบกมือแล้วพูดว่า

“ขอนอนก่อนนะพ่อ เรื่องนี้ไว้ค่อยคุยตอนบ่าย”

นอนได้ไม่เท่าไร น้าสะใภ้คนที่สองของฉินสือโอวก็เดินยิ้มมาหา

“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ กำลังนอนกลางวันกันอยู่เหรอ? ฉันมีเรื่องจะปรึกษาพวกพี่หน่อย เสี่ยวโอวยังไม่มีแฟนใช่ไหม? คืออย่างนี้ ลูกสาวเพื่อนร่วมงานของฉันน่ะไม่เลวเลยนะ ดูนี่สิ…”

“...”

พ่อของฉินสือโอวพูดไม่ออก เพิ่งจะส่งคนหนึ่งกลับไป นี่มาอีกคนอีกแล้ว เหมือนนัดกันมาอย่างนั้นแหละ คราวนี้เป็นเพื่อนของพ่อฉินสือโอวที่ตลาดขายผัก

“ตาฉิน มัวนอนอะไรอยู่ ฉันมีข่าวดีมาบอก! ฉันได้ยินคุณพูดว่าลูกชายของคุณยังไม่มีแฟนใช่ไหม? ฮึ่ย สนใจลูกสาวน้องชายฉันไหม? เคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นกับลูกของคุณด้วยนะ ฮ่าๆ ฉันได้ยินมาว่าตอนนั้นเธอเป็นสาวสวยของโรงเรียนเลยนะ…”

ฉินสือโอวลุกขึ้นมาขยี้ผมด้วยความรำคาญใจแล้วพูดว่า

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย? จะได้นอนกันไหม?”

แม่ตีเขาไปหนึ่งครั้งแล้วพูดว่า

“ลูกไปต้อนรับแขกของแม่หน่อยไป มีคนมาแนะนำลูกสะใภ้ให้ไม่ดีเหรอ?”

ลูกชายได้รับความสนใจขนาดนี้ จากเดิมที่ไม่มีใครสนใจกลายเป็นคนที่มีแต่คนมารุมแย่ง ทำให้แม่ของฉินสือโอวมีความสุขเหลือเกิน

ทั้งบ่ายพ่อแม่ของฉินสือโอวต้อนรับพ่อสื่อแม่สื่อไปทั้งหมดหกคน แบบนี้มันผิดธรรมชาติ ชายแก่อย่างเออร์บักรู้สึกเสียดาย เพราะเขาอยากจะลงหลักปักฐานกับใครสักคนมาโดยตลอด

เรื่องผิดปกตินี้มันต้องมีสาเหตุแน่ๆ ฉินสือโอวรู้ดีว่าตัวเองไม่ได้หล่อมืดฟ้ามัวดินขนาดนั้น ผู้หญิงสมัยนี้ก็ไม่ได้มีเยอะจนถึงขั้นหาสามีไม่ได้ จู่ๆ ก็มีพ่อสื่อแม่สื่อมาหามากมายขนาดนี้ มันต้องมีบางอย่างผิดปกติ

อะไรกันนะ? เขาโทรหาพี่เขยถามว่าทางนู้นได้พูดเรื่องที่เขามีเงินมากมายมหาศาลไปบอกใครหรือเปล่า พี่เขยที่กำลังเช็ดรถตบอกของตัวเองเพื่อยืนยันว่าเขาไม่ได้เอาไปพูดที่ไหนเลย

หลังจากนั้นก็โทรหาฉินเผิง ฉินเผิงอ้ำอึ้ง

“ฉันไม่ได้พูดอะไรเลยนะ แต่เหมือนว่าแม่ของฉันจะไปเล่าให้คนอื่นฟังว่าตอนนี้ชีวิตนายกำลังไปได้สวย แล้วก็น่าจะเล่าเรื่องที่นายซื้อตึกนั่นแล้วปล่อยให้ฉันเช่าฟรีไปแล้วด้วย…”

ถึงตรงนี้ทุกอย่างก็กระจ่าง

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวรู้สึกแย่ก็คือ วันต่อมาพวกพ่อสื่อแม่สื่อทั้งหลายก็ยังคงมาที่บ้านของเขาอย่างไม่ขาดสาย ทำไมก่อนหน้านี้เขาถึงไม่เคยเลยรู้ว่าแถวบ้านเขามีสาวงามผู้เพียบพร้อมมากมายขนาดนี้?

อยู่บ้านต่อไปไม่ได้แล้ว ฉินสือโอวคงต้องกลับแคนาดาก่อนกำหนด

พ่อกับแม่ไม่อยากให้เขารีบกลับ แต่ฉินสือโอวไม่อยากให้คนมาทำเหมือนว่าเขาเป็นหมู มาเร่งให้ผสมพันธุ์อยู่ทุกวันอย่างนี้ ฉินสือโอวกลับแคนาดาเสียยังดีกว่า

“ยังไงซะผมก็มีเงินแล้ว ไว้จะกลับมาหาใหม่นะ” ฉินสือโอวพูดปลอบพ่อกับแม่

พ่อถลึงตาใส่เขาแล้วพูดว่า

“มีเงินแล้วก็อย่าสุรุ่ยสุร่ายนะ! ไว้ถึงฤดูใบไม้ร่วงแล้วฉันกับแม่แล้วก็บ้านพี่สาวแกจะไปเล่นด้วยที่นู่น กว่าจะถึงตอนนั้นก็อย่าเพิ่งกลับมาล่ะ”

แม่ฉินกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารเย็น เธอเข้าไปในเมืองเพื่อซื้อเลือกซื้อเนื้อแกะสดๆ แป้งปรุงสำเร็จ น้ำมันพืชและผักชีเพื่อทำโร่วปิ่งที่ฉินสือโอวชอบ ตอนกลับมายังถือปลาดุกมาด้วยอีกตัวหนึ่ง แล้วพึมพำว่า

“ให้พี่เขยทำปลาดุกหม้อไฟอีกอย่างหนึ่งด้วยนะ ลูกชายชอบกินที่สุด”

พอเห็นแม่ยุ่งขนาดนี้ เขาก็รู้สึกประทับใจมาก นี่แหละความรักของแม่ ยิ่งใหญ่ดังขุนเขา

“ทำข้าวผัดมันหมูให้ลูกสิ ใช้มันหมูดำผัดน่ะ ที่แคนาดามีทุกอย่างแต่ไม่มีมันหมูดำแน่นอน”

พ่อนั่งยองๆ อยู่ที่พื้นคิดแล้วพูดออกมา

หมูดำเป็นหมูพื้นเมืองของเมืองผิงเฉิง หมูชนิดนี้โตช้า เลี้ยงปีหนึ่งจะหนักได้สูงสุดไม่เกินห้าสิบกว่ากิโลกรัม

อีกอย่างพวกมันไม่กินอาหารสัตว์สำหรับหมู มันกินแค่พวกผักป่า ผักบุ้งดำ ใบไม้ ผักกาดขาวแล้วก็ต้นอ่อนถั่วเท่านั้น เพราะฉะนั้นจากปริมาณการเข้าสู่ตลาดของเนื้อหมูแล้ว หมูชนิดนี้แทบจะถูกเขี่ยออกจากตลาดไปแล้ว

แต่ว่าเนื้อของหมูดำนั้นอร่อยมาก หมูชนิดนี้เริ่มเข้าสู่ตลาดอีกครั้งหลังจากคุณภาพชีวิตของผู้คนดีขึ้น เนื้อหมูทั่วไปครึ่งกิโลกรัมราคาสิบหยวน แต่เนื้อหมูดำอย่างน้อยต้องมียี่สิบหยวนขึ้นไปและถ้าเป็นมันหมูนั้นจะยิ่งแพงขึ้นไปอีก

อาหารที่ใช้มันหมูดำจะหอมเป็นพิเศษ จานที่ฉินสือโอวชอบที่สุดคือข้าวผัดมันหมูรสชาติหอมมัน โรยด้วยต้นหอมซอยผักชีและต้นหอม อร่อยกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว สมัยเขาเป็นนักเรียน ทุกครั้งหลังกลับจากโรงเรียนพ่อของเขามักจะผัดให้เขากินอยู่เสมอ มันทั้งอร่อยและมีประโยชน์ต่อร่างกาย

พ่อขี่รถไฟฟ้าไปซื้อมันหมูกับคนขายเนื้อในตัวตำบล หมดไปเกือบสองร้อยหยวน

หมูดำกินแต่พวกผักป่าและออกกำลังกายมากกว่าหมูขุน ดังนั้นเนื้อของพวกมันจึงไม่ค่อยติดมันและทำให้มีมันหมูน้อย ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมมันถึงมีราคาแพง

พ่อถือมันหมูมา ถอนหายใจแล้วพูดว่า

“เฮ้อ~ เดินหาตั้งนานได้มาแค่นี้ ไว้คราวหลังถ้าหาได้เพิ่มอีกจะซื้อแล้วส่งไปให้ก็แล้วกันนะ”

ฉินสือโอวตอบ

“โอ๊ย~ ส่งทำไม แบบนี้ดีกว่า ตำบลของเรามีโรงเลี้ยงหมูดำใช่ไหม? เดี๋ยวผมซื้อลูกหมูแล้วพาไปที่นิวฟันด์แลนด์ด้วยเลยก็สิ้นเรื่อง”

แม่ฉินพูดขึ้นบ้างว่า

“ก็น่าสนใจดีนะ หมูท้องถิ่นในบ้านของเราอร่อยกว่าหมูแคนาดาอยู่แล้ว ไหนก็จะเอาไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็เอาไปหลายๆ ตัวเลยนะ เอาลูกหมูไปแล้วก็เอาไก่พื้นเมืองไปด้วย เอาไปทั้งไก่ตัวผู้แล้วก็ไก่ตัวเมียเลยดีไหม?”

“ดีครับ!”

………………………………