ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

บทที่ 57 หู่จือและเป้าจือ

ฉินสือโอวมองดูแลบราดอร์ตัวน้อยที่กำลังป่วยก็เปลี่ยนใจแล้วพูดว่า

“ฉันว่าฉันมีวิธี”

วิธีของเขาก็คือการใช้จิตโพไซดอนนั่นเอง ดูเหมือนว่าจิตโพไซดอนนั้นขอแค่พาลงไปในน้ำก็จะสามารถใช้พลังเข้าไปรักษา ปรับปรุงและทำให้สัตว์ทุกชนิดแข็งแรงขึ้นได้

วินนี่ถามด้วยความประหลาดใจว่า

“วิธีอะไร?”

ฉินสือโอวยิ้มอย่างมีเลศนัย รับเอาลูกสุนัขสองตัวมาแล้วตอบว่า

“ถึงตอนนั้นคุณจะประหลาดใจ ไปเปลี่ยนชุดก่อนสิ เดี๋ยวผมจะอาบน้ำให้พวกมันเอง”

เดินอุ้มเจ้าหมาน้อยสองตัวมาตลอดทาง ทำให้เสื้อผ้าของวินนี่เต็มไปด้วยโคลนและวัชพืช หลังจากพาหมาน้อยเข้าไปในห้องน้ำ ฉินสือโอวก็เปิดน้ำอุ่นใส่อ่างแล้ววางหมาน้อยลงไป จากนั้นเขาก็นำจิตโพไซดอนของเขาลงไปในน้ำ ทันใดนั้นเขาก็รับรู้ถึงอารมณ์ของเจ้าตัวเล็กทั้งสองทันที ตัวหนึ่งไม่มีแรงแล้ว ชีพจรต่ำและซึม อีกตัวหนึ่งสภาพดีกว่าหน่อย แค่ตื่นเต้นและกังวลมาก ลงน้ำแล้วก็ยังอยากจะอยู่ใกล้เพื่อนอีกตัว พยายามเดินฝ่าน้ำจ๋อมแจ๋มไปหา

ฉินสือโอวนำพลังจิตโพไซดอนเข้าไปในร่างกายของหมาน้อยทั้งสอง พอสัมผัสได้ถึงจิตโพไซดอน เจ้าตัวเล็กทั้งสองก็เป็นเด็กดีขึ้นมาทันที ตัวที่ป่วยรู้สึกดีขึ้นจนครางหงิงๆ ออกมา ดวงตาดวงน้อยๆ ที่เคยขุ่นมัวก็สดใสขึ้นตามพลังจิตโพไซดอนที่เพิ่มขึ้น มันเริ่มจะมีแรงขึ้นมาบ้างแล้ว

เพื่อไม่ให้เรื่องพลังของเขาแดงขึ้นมา ฉินสือโอวจึงเข้าไปในครัวแล้วรีบทำขิงต้มน้ำตาลทรายแดงถ้วยหนึ่ง พอวินนี่เปลี่ยนชุดเสร็จเรียบร้อยเดินออกมา ฉินสือโอวก็ยกขิงต้มน้ำตาลทรายแดงมาเสิร์ฟ วินนี่ถามว่า

“นี่อะไรเหรอ?”

ฉินสือโอวยิ้มอย่างภูมิใจแล้วตอบว่า

“ยาวิเศษมรดกตกทอดของตระกูลผม สำหรับรักษาหวัด…แหะๆ ผมว่าหมาน้อยพวกนี้ไม่ได้เป็นอะไรมาก คงแค่เป็นหวัดน่ะ”

มันยากมากที่จะรักษาสุนัขที่เป็นหวัดเพราะสัตว์ไม่เหมือนคนที่ผิวหนังสามารถระบายความร้อนได้ หมาน้อยนั้นอาศัยลิ้นในการระบายความร้อน เมื่อร่างกายร้อนเนื่องจากเป็นหวัดและไม่สามารถระบายความร้อนออกมา อุณหภูมิร่างกายจึงไม่สามารถลดลง ทำให้มันสามารถช็อกตายได้ในไม่ช้า สมัยประถมฉินสือโอวเคยมีสุนัขอยู่ตัวหนึ่งมันตากฝนจนเป็นหวัดตาย ตอนนั้นเขาร้องไห้อยู่เป็นอาทิตย์เมื่อเขากลับบ้าน

วินนี่ไม่ใช่คนที่หลอกง่าย วัยเด็กเธอเคยอาศัยอยู่ที่ปักกิ่ง เมื่อเป็นหวัดปู่กับย่าก็จะทำขิงต้มน้ำตาลทรายแดงให้ ดังนั้นหลังจากที่ดมเธอก็รู้ว่ามันคืออะไรทันที

ฉินสือโอวคว้าหมาน้อยทั้งสองตัวขึ้นมา ความจริงแล้วแลบราดอร์น้อยทั้งสองตัวนี้ดีขึ้นด้วยพลังจิตโพไซดอนแล้ว แต่ตอนนี้ที่ยังดูไม่ค่อยร่าเริงเป็นเพราะหิวต่างหาก

ฉินสือโอวป้อนน้ำขิงให้เจ้าตัวเล็กทั้งสอง พวกมันแสนรู้นั่งอยู่บนเข่าของฉินสือโอวข้างละตัว เมื่อเห็นถ้วยก็แลบลิ้นสีชมพูเล็กๆออกมาเลียเพื่อดื่มเป็นเสียงดัง ‘แผล่บ แผล่บ’

หลังจากดื่มน้ำขิง ฉินสือโอวก็ไปต้มปลาหัวโตมาครึ่งตัวโดยใช้หม้อต้มแรงดันต้มให้เปื่อยๆ แล้วหาชามเหล็กสองใบมาใส่ให้หมาน้อย เจ้าตัวเล็กทั้งสองกระดิกหางกินอย่างมีความสุข

กินอิ่มหนําสําราญเรียบร้อย ฉินสือโอวก็เข้าไปเอาเสื้อผ้าเก่าและพรมใต้เตียงในห้องนอนมาทำเป็นที่นอนสองอัน แต่สุดท้ายเจ้าตัวเล็กทั้งสองก็ไม่กล้าแยกกันนอนจึงไปนอนเบียดกันอยู่ที่เดียวเหมือนเป็ดแมนดาริน พวกมันนอนซบกันโดยเอาหัวไขว้กันไว้แล้วงีบหลับไป

ฉินสือโอวเช็ดเหงื่อจากหน้าผากของเขายิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า

“เอาล่ะ ไม่มีปัญหาแล้ว พรุ่งนี้พวกมันจะต้องกลับมาเจ๋งแน่นอน”

วินนี่ยกมือของเธอขึ้นมาช่วยเขาเช็ดเหงื่อ หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า

“ที่คุณทำเมื่อครู่ก็เจ๋งนะ”

กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไหวฮวาลอยเข้าจมูกของฉินสือโอว เขาสูงกว่าวินนี่ครึ่งหัว พอก้มศีรษะลงสายตาของเขาก็มองทะลุถึงหน้าอกของแอร์โฮสเตสสาวพอดี เมื่อเห็นเนื้อนูนสีขาวเนียนราวกับกลีบดอกไม้เขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที

ดูเหมือนว่าวินนี่จะยังไม่รู้สึกตัว เธอค่อยๆ เช็ดเหงื่อให้เขาอย่างระมัดระวัง แต่พอเธอเดินออกจากห้องนอนไป เธอก็รีบติดกระดุมคอเสื้อเม็ดบนสุดของเธอทันที

รถกระบะคันหนึ่งขับเข้ามาที่ฟาร์มปลาในตอนบ่าย หลังจากนั้นสัตว์ประหลาดรูปร่างสูงใหญ่ปรากฏตัวขึ้น เขาลากไม้จำนวนหนึ่งลงจากกระบะรถไปวางไว้ที่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของฟาร์มปลาใกล้กับป่าเล็กๆ แล้วเริ่มทำรั้ว

“ทำอะไรอยู่เพื่อน?” ฉินสือโอวถาม

ซีมอนสเตอร์ยิ้มแล้วตอบว่า “ผมเห็นว่าคุณมีหมู ไก่และเป็ดแต่ไม่มีคอกให้พวกมัน เลยกะจะทำรั้วให้”

ฉินสือโอวรู้สึกละอายใจเล็กน้อย ชาร์คซึ่งสวมชุดกันฝนเดินผ่านมาพูดขึ้นว่า

“ไหนๆ ก็ฝนตกออกทะเลไม่ได้แล้ว บอส พวกเราช่วยคุณทำโรงเลี้ยงสัตว์เล็กๆ ซักหลังก็แล้วกัน”

ก่อนหน้านี้ตอนที่เออร์บักกลับมา ฉินสือโอวได้นำหมูดำ ไก่บ้าน เป็ดพื้นเมืองจากบ้านกลับมาที่ฟาร์มปลาด้วย แต่ว่าไม่มีเพาะเลี้ยง ฉินสือโอวจึงเลี้ยงพวกมันแบบปล่อย สองวันมานี้ลูกหมูลูกไก่พากันวิ่งไปทั่วฟาร์มปลา

ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นเป็ดไก่หรือว่าหมูพวกมันก็ยังเล็กอยู่ เลี้ยงแบบปล่อยไม่เป็นไร แต่ถ้าพวกมันโตกว่านี้อีกหน่อยลำบากแน่ แค่เรื่องที่พวกมันจะขี้ไปทั่วเรื่องนี้เรื่องเดียวก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรเพิ่มแล้ว

แบบนี้ฉินสือโอวก็รู้สึกละอายที่จะอยู่เฉย จึงสวมถุงมือเพื่อร่วมสร้างเล้าหมู

พวกเขาเลือกสนามหญ้าที่อุดมสมบูรณ์ ล้อมด้วยต้นเมเปิลอายุสีกว่าปีสองต้นแล้วเริ่มทำงาน

ซีมอนสเตอร์อธิบายว่า “เมเปิลสองต้นนี้แตกกิ่งก้านสาขามากมาย เมื่อฤดูร้อนมาถึงใบเขียวชอุ่มของมันจะเป็นเหมือนร่มสองคันซึ่งทำให้สัตว์รู้สึกเย็นลง”

“กล้าพนันเลยว่า ถึงตอนนั้นเมื่อลมทะเลพัดมา พวกมันจะต้องรู้สึกสดชื่นเหมือนต้นคริสต์มาสอย่างแน่นอน” ชาร์คพูดเสริม

ฉินสือโอวยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “เห็นแบบนี้แล้ว ที่นี่เหมือนรีสอร์ตเลย”

ซีมอนสเตอร์เตรียมไม้สูงเมตรครึ่ง ต้นไม้บนเกาะแฟร์เวลมีเยอะ ไม้พุ่มขนาดเล็กพวกนี้ก็มีเยอะเช่นกัน มันสามารถหาเก็บได้ทั่วไป

“ถ้าคุณชอบเลี้ยงสัตว์ อนาคตลองเลี้ยงกวางเรนเดียร์เล่นๆ ดูสิ พวกมันไม่เลวเลยนะ” ซีมอนสเตอร์ทุบท่อนไม้ที่ไร้กิ่งก้านไปพลางพูดไปพลาง

วินนี่คั้นน้ำผลไม้สำหรับทั้งสามคน หลังจากที่อุ่นให้ร้อนแล้วก็นำมาส่งให้ ฉินสือโอวจึงหาเวลาพักผ่อนและดื่มเครื่องดื่ม

ซีมอนสเตอร์นั่งยองๆ ใจลอยดีดไม้อยู่ใต้ต้นไม้ หลังจากดื่มเครื่องจนเกลี้ยงเขาก็ขยิบตาให้ชาร์ค

ชาร์คกระแอมครั้งหนึ่งแล้วถามฉินสือโอวว่า “บอส ผมขอถามหน่อย คุณวางแผนว่าจะทำอะไรกับฟาร์มปลาแห่งนี้บ้าง? เช่นจะเลี้ยงปลากี่ตัว? มีเรือประมงกี่ลำ? ผลผลิตปลาปีละเท่าไร? จะเลี้ยงอะไรเพิ่มอีกไหม?”

ซีมอนสเตอร์หูผึ่ง

ฉินสือโอวยิ้มแล้วตอบว่า “มีอะไรให้เลี้ยงเยอะแยะไป พวกกุ้งมังกร หอยทะเล ปลาแซลมอนและปลาทูน่า จะเลี้ยงให้หมดเลย และถ้าเป็นไปได้ในอนาคตก็อยากจะเลี้ยงพวกหอยเป๋าฮื้อกับปลิงทะเลด้วย”

พอเขาพูดจบ รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซีมอนสเตอร์

เกาะแฟร์เวลไม่ค่อยมีหอยเป๋าฮื้อกับปลิงทะเล เพราะขาดแนวปะการังใต้น้ำ ห่วงโซ่อาหารไม่สมบูรณ์ ระบบนิเวศอุดมสมบูรณ์ไม่พอ แต่ฟาร์มปลาต้าฉินนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ แนวปะการังใต้น้ำตอนนี้เติบโตขึ้นทุกวันด้วยพลังโพไซดอน

ชาร์คพูดขึ้นว่า “ถ้าเป็นอย่างนั้น ฟาร์มปลามีแค่ผมกับนีลเซ็นน่าจะไม่พอ พวกเราต้องการชาวประมงประจำฟาร์มปลาเพิ่มอีกอย่างน้อย 8-10 คน จากนั้นพวกเขาต้องจ้างคนประมาณ 20 คนมาช่วยชั่วคราวในช่วงฤดูตกปลา”

ซีมอนสเตอร์พยักหน้าเห็นด้วยแล้วพูดว่า “ใช่ครับ สองคนไม่พอ ไม่พอแน่ๆ”

ฉินสือโอวพูด “ไม่เป็นไร พวกเราจ้างชาวประมงได้ ถ้าเห็นว่าคนไหนเหมาะสมก็แนะนำมานะ”

เขาเข้าใจสิ่งที่ชาร์คต้องการแล้ว ก่อนหน้านี้ตอนไปยิงปลาชาร์คเคยถามซีมอนสเตอร์ว่าทำไมถึงจะไปหางานที่เซนต์จอห์น ตอนนี้ซีมอนสเตอร์มาถึงที่อีกครั้ง ชัดเจนเลยว่าเขากำลังหางานอยู่

เป็นอย่างที่คิด ซีมอนสเตอร์ยืนขึ้นและตบหน้าอกของเขาเสียงดัง “บอสว่าผมเป็นยังไงบ้าง? ถ้าคุณต้องการคนเพิ่ม นับผมเป็นหนึ่งในนั้นด้วยนะ”

ฉินสือโอวยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่มีปัญหา ค่าตอบแทนเท่านีลเซ็น คุณโอเคไหม”

ซีมอนสเตอร์หัวเราะฮ่าๆ แล้วตอบว่า “เยี่ยมไปเลยบอส ผมยิ่งกว่าโอเคอีก!”

พอหางานได้แล้ว ซีมอนสเตอร์ก็ทุ่มเทในการทำงานมากกว่าเดิมอีก ทั้งสามร่วมมือกันสร้างฟาร์มกลางแจ้งที่มีพื้นที่มากกว่าสี่เอเคอร์อย่างรวดเร็ว ซีมอนสเตอร์วางแผนว่าจะขุดแม่น้ำสายเล็กๆ ดึงน้ำจากภูเขาให้ไหลผ่านฟาร์ม แบบนี้คนจะได้ไม่ต้องมาคอยให้น้ำ

ฟาร์มสร้างเสร็จแล้ว เหลือแค่จับหมูไก่และเป็ดมาใส่

สุดท้ายแล้วการเลี้ยงแบบปล่อยที่ผ่านมาทำให้พวกลูกหมูลูกไก่ฉลาดเป็นพิเศษ หนุ่มใหญ่สามคนช่วยกันไล่จับ พื้นดินชื้นและลื่น พวกลูกหมูกับลูกไก่วิ่งกันฉิว แต่พวกเขาก็จับไม่ได้

ต่อมาฉินสือโอวนัดกับซีมอนสเตอร์ว่าให้มาเริ่มงานพรุ่งนี้ ในขณะเดียวกันเขากับชาร์คก็จะติดต่อกับชาวประมงที่มีฝีมืออีกสี่ถึงห้าคนเพื่อเตรียมตัวทำงานในอนาคต

วันรุ่งขึ้นฉินสือโอวตื่นขึ้นมาตอน 6 โมงเช้าตามปกติ เขาเปิดหน้าต่างและสายลมชุ่มชื้นในยามเช้าก็พักมาทักทาย พร้อมนำเอากลิ่นหอมของพืชพรรณและกลิ่นน้ำทะเลอันสดชื่นมาด้วย ในที่สุดฝนก็หยุดตกและดวงอาทิตย์สีแดงเพลิงก็ปรากฏขึ้น

พอเขาลงจากเตียงเจ้าสองแสบขนปุยก็กระโดดใส่ทันที พวกมันกระดิกหางอย่างมีความสุขและวิ่งวนไปมารอบตัวเขา

ฉินสือโอวอุ้มพวกมันทั้งสองตัวขึ้นมาดู ดูจากสภาพไม่มีปัญหาอะไรแล้ว เพียงแค่ผอมแห้งไปหน่อย

เขาพาหมาน้อยทั้งสองตัวลงไปข้างล่าง แล้วพบว่าวินนี่อยู่ข้างล่าง พอเห็นหมาน้อยทั้งสอง วินนี่ก็ยิ้มแล้วอ้าแขนทั้งสองข้างออกแล้วย่อตัวลง “คัมม่อน..บอย มาหาฉันเร็ว”

แลบราดอร์นั้นคุ้นเคยกับคนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกสุนัขสองตัวที่ถูกนำกลับมาโดยวินนี่เมื่อวานนี้ พวกมันคุ้นเคยกับกลิ่นของเธอมากและกระโดดไปมาในอ้อมแขนของเธอ

วินนี่ลูบหมาน้อยทั้งสอง ใบหน้าของเธอเปล่งประกายทำให้คนเห็นประทับใจอยู่เสมอ เธอเอ่ยปากชมพวกมันว่า 'กู๊ดบอย' ไม่หยุด

“คุณคิดไว้รึยังว่าจะตั้งชื่อพวกมันว่าอะไร?” วินนี่ถาม

ฉินสือโอวยิ้มแล้วพูดว่า “คุณเป็นคนช่วยพวกมัน เพราะฉะนั้นคุณตั้งเถอะ”

วินนี่ปฏิเสธแล้วอธิบายว่า “จากนี้ไปคุณจะอยู่กับพวกมันมากกว่าฉัน คุณตั้งชื่อให้มันเถอะ”

ฉินสือโอวไม่ปฏิเสธอีกต่อไป เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ตัวที่ใหญ่กว่าชื่อหู่จือ ตัวที่เล็กกว่าชื่อเป้าจือก็แล้วกัน”

หู่จือกับเป้าจือเป็นชื่อของสุนัขสองตัวที่ฉินสือโอวเคยเลี้ยงไว้ในบ้าน พวกมันเป็นเพื่อนวัยเด็กของเขา น่าเสียดายที่พวกมันป่วยตายในเวลาต่อมา เขาต้องการใช้ชื่อทั้งสองนี้เพื่อระลึกถึงคู่หูในวัยเด็กของเขา

“ดีค่ะ ถ้าอย่างนั้นก็หู่จือกับเป้าจือ” วินนี่ลูบหัวปุยๆ ของหนุ่มน้อยทั้งสอง พวกมันอ้าปากแล้วงับนิ้วของเธอเบาๆ แล้วเริ่มเล่นด้วยตัวเอง

………………………………