ตอนที่ 33 : แขวนประจาน

ฉินหมิงหยวนแสดงสีหน้าหวาดกลัวสุดขีดครั้นสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่กำลังไหลไปทั่วร่าง ร่างกายภายในของมันพลันร้อนขึ้นราวกับมีไฟลุกโชนอยู่ภายใน

ไป๋เฉินขบเคี้ยวขนมพลางเอ่ย "หากเจ้าไม่ยอมปริปาก เลือดในร่างกายของเขาจะไหลเวียนย้อนกลับ ส่งผลให้ระบบการหายใจและระบบการทำงานของหัวใจผิดปกติ หากปล่อยไว้เกินหนึ่งนาทีเจ้าจะได้ลิ้มลองรสชาติของความทุกข์ทรมานที่สุดในชีวิต แต่เจ้าจะยังไม่ตายเพราะข้าจะทำให้การไหลเวียนกลับตามเดิมและทำเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมาจนกว่าข้าจะพึงพอใจ"

ระหว่างที่ไป๋เฉินกล่าวใบหน้าของฉินหมิงหยวนเริ่มจะปวดบูมเนื่องจากโลหิตที่ไหลเวียนไปยังสมองทำให้เกิดอาการเลือดคลั่งใน สมองของเขาตระหนักได้ถึงความเจ็บปวดที่ทรมานเสียยิ่งกว่าการตัดแขนตัดขา 

ดวงตาของมันเป็นสีแดงจากเส้นเลือดฝอยที่แตกพร่า ภายในรูม่านตามีเพียงแต่ความสิ้นหวังฉายอยู่

วินาทีนั้นฉินหมิงหยวนไม่ลังเลเลยที่จะผงกศีรษะเพื่อเป็นการส่งสัญญาณว่ามันจะยอมบอกทุกๆอย่าง 

"เอาล่ะ เนื่องจากข้ายังพอมีความเมตตาปราณี หากเจ้าไม่กล่าวสารภาพทุกสิ่งภายในเวลาหนึ่งนาที เจ้าคงจะรู้ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นต่อไป..." ไป๋เฉินพยักหน้าเบาๆ พร้อมกับกดลงไปยังตำแหน่งชีพจรเพื่อคืนการไหลเวียนโลหิตโดยที่ยังมิได้ถอนปราณโลหิตออกมาและดึงถุงเท้าออกจากปาก

ฉินหมิงหยวนพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง "ปะ-ไป๋เฉิน หากข้าบอกเจ้า...เจ้าจะไม่สังหารข้าใช่หรือไม่?" 

คิ้วของไป๋เฉินย่นลง "เจ้าไม่มีสิทธิ์ในการต่อรอง! แน่นอนว่าหากเจ้าไม่ปริปาก...ข้ายังมีวิธีการดีๆมากกว่านี้เยอะ"

"แป้ก!"

ไป๋เฉินดีดนิ้วโดยพลัน ในเวลาเดียวกันความร้อนเริ่มพวยพุ่งจากตันเถียนของฉินหมิงหยวนเพื่อเป็นการบีบบังคับ 

"อ๊ากกก!!! ข้าจะบอก! ข้าจะบอก!"

"ในวันนั้นที่ตระกูลไป๋กำลังตกเป็นเป้าหมายของทั้งสามเมือง แต่ไป๋หนานเทียนยังคงความเด็ดเดี่ยวและมีอำนาจสูงสุด แต่ทว่าบิดาของข้าไปบอกกล่าวที่หลบซ่อนของแม่ของเจ้าและเจ้าให้แก่เจ้าเมืองเทียนเฟิงได้รับรู้..."

ฉินหมิงหยวนบอกเล่าทุกอย่างด้วยความหวาดกลัวเสียงสั่นระเรื่อ จนของเหลวสีเหลืองเริ่มไหลมาตามกางเกง

ฉินฟงต้องการจะครอบงำอำนาจของตระกูลฉินมาเนิ่นนานตั้งแต่เมื่อฉินเหยียนได้รับตำแหน่งผู้นำตระกูลและมีความสัมพันธ์ฉันท์มิตรกับตระกูลไป๋ ในยามนั้นตระกูลฉินเป็นที่ครหาว่าตกเป็นเบี้ยล่างของตระกูลไป๋ แน่นอนว่าฉินเหยียนยอมรับความจริงข้อนี้โดยปริยาย แต่สำหรับฉินฟงแล้วมันมิอาจยอมรับได้!

และวัตถุประสงค์ของฉินฟงคือการทำให้ก่อเกิดสงครามขนาดใหญ่เพื่อให้ฉินเหยียนเข้าร่วมสงครามและถูกสังหารลงในสงครามครานั้น และมันคาดเดาไปเองว่าหลังจากยุทธ์การมังกรเขมือบ กองกำลังของตระกูลไป๋และตระกูลฉินจะถึงคราวเสื่อมถอย จนมันจะกลายเป็นพระเอกขี่ม้าขาวและหลังจากนั้นมันจะกดขี่ตระกูลไป๋ให้อยู่ภายใต้ตระกูลฉินได้โดยการนำของมัน

แต่ทว่ากลับเกิดเหตุที่ไม่คาดฝัน เมื่อไป๋หนานเทียนได้ทนรับแรงกระแทกไว้เพึยงผู้เดียวโดยที่มิได้ส่งผลลบต่อกองกำลังของตระกูลฉินแม้แต่น้อย ซ้ำยังสังหารกองกำลังนับหมื่นของศัตรูจนสิ้น...และแผนการของฉินฟงก็ถึงคราวล่มสลาย

เหตุผลที่มันพยายามจะกำจัดไป๋เฉินมีอยู่สองประการ 

หนึ่งคือการลบล้างภัยคุกคามที่ยังหลงเหลืออยู่

สองคือในเมื่อมันมิอาจขึ้นครองตำแหน่งผู้นำตระกูลฉินได้ มันจึงวางแผนส่งไม้ต่อให้ฉินหมิงหยวนรับตำแหน่งผู้นำตระกูลคนต่อไป

จะกล่าวได้ว่าไป๋เฉินเปรียบเสมือนก้างขวางคอชิ้นใหญ่!

หลังจากได้รับข้อมูลทุกสิ่งอย่าง ไป๋เฉินยัดถุงเท้ากลับตามเดิม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับบิดาของตนหรือแม้แต่การใช้อำนาจของตระกูลฉินเพื่อกดขี่หญิงสาวจนทำให้หลายๆครอบครัวล่มสลายไปโดยที่ไม่มีผู้ใดกล้าพูดอันใด รวมถึงผู้สมรู้ร่วมคิดและผู้ร่วมกระบวนการ ข้อมูลทั้งหมดตกอยู่ในมือของไป๋เฉินจนสมบูรณ์

ไป๋เฉินได้รับแม้แต่ชื่อแซ่ของตระกูลที่มันเคยทำชั่วช้าไว้ทั้งหมด รวมถึงจุดสำคัญการเปลี่ยนแปลงของตระกูลไป๋

"ฮ่าย~ ไม่คาดคิดว่าไป๋หนานเทียนจะโดนหอกข้างแคร่แทงอย่างหนักหน่วงเช่นนี้" ไป๋เฉินกุมขมับและส่ายศีรษะอย่างเห็นอกเห็นใจ

'ดูเหมือนว่าสมมติฐานที่ไป๋เฉินคนเก่าตั้งมาโดยตลอดเป็นความจริง!'

'แต่ไป๋เฉินคนเก่าไม่ต้องการให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลต้องเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ฉะนั้นไป๋เฉินคนเก่าจึงเก็บเงียบงันมาโดยตลอด' 

ไป๋เฉินยืนขึ้นพลันวางแผนเรียบเรียงเหตุการณ์ไว้ในหัว "ฉินฟงคือตัวจุดชนวนของเรื่องนี้ และเจ้าเมืองเทียนเฟิงเปรียบได้ดั่งอาวุธที่ถูกชักนำโดยฉินฟงเพราะมีข้อตกลงผลประโยชน์ร่วมกัน...เจ้าเมืองเทียนเฟิงต้องการลบล้างตระกูลไป๋ ส่วนฉินฟงต้องการยึดครองอำนาจจากฉินเหยียน อะไรจะช่างเหมาะเหม็งถึงเพียงนั้น"

ไป๋เฉินเดินไปยังฉินหมิงหยวนที่กำลังแสดงสีหน้าหวั่นกลัว เขากล่าวด้วยรอยยิ้มนุ่มนวล "เอาล่ะ เวลาของเจ้าหมดลงแล้ว...จงจำไว้! ชาติหน้าอย่ามาซ่ากับพี่!"

ฉินหมิงหยวนส่งสายตาร้องขอความเมตตา แต่ทว่าไป๋เฉินบีบกำปั้นอย่างสุดแรง

"ครืน~"

ทันใดนั้นร่างที่สมบูรณ์ของฉินหมิงหยวนเริ่มที่จะซูบผอมลงทีละเล็กทีละน้อย ผิวชุ่มช่ำกลับกลายเป็นสีซีด ใบหน้าตอบราวกับคนติดยา และในวินาทีต่อมาไป๋เฉินกวักข้อมือเบาๆก่อนที่ปราณสีโลหิตหนึ่งหยดพ่วยพุ่งออกจากลำคอ

บัดนี้แก่นแท้โลหิตของฉินหมิงหยวนถูกดูดออกจากร่างโดยสมบูรณ์

"ดูดกลืน!" ไป๋เฉินส่ายศีรษะก่อนจะกวักหยาดโลหิตเข้าสู่ร่างกายของตนผ่านทางขม่อม ในเวลานั้นมีอักขระ 血 ปรากฏขึ้น

เขารีบนั่งลงเข้าสู่ฌาณ พลังปราณสีโลหิตวนเวียนรอบๆกายคลับคล้ายกับพายุขนาดย่อม จุดตันเถียนหมุนเวียนโลหิตทวนเข็มนาฬิกาผสานเข้ากับรากปราณ!

เส้นชีพจรทั้งสิบสามบวมขึ้นด้วยการไหลเวียนโหมกระหน่ำ!

"บู้ม!"

"ปราณปฐพีขั้น 1!"

"ปราณปฐพีขั้น 2!"

"ปราณปฐพีขั้น 3!"

"ปราณปฐพีขั้น 4!"

"ปราณปฐพีขั้น 5!"

"ช่างกระชุ่มกระชวยเสียจริง" ไป๋เฉินลืมตาขึ้นยืดแขนบิดขี้เกียจพลันมองไปยังร่างไร้วิญญาณของฉินหมิงหยวนที่ตัวผอมแห้งติดกระดูก "ขออภัย เนื่องจากข้าได้รับค่าจ้างมาแล้ว หากจะไม่ทำตามภารกิจคงจะผิดจรรยาบรรณของนักฆ่า"

นัยน์ตาสีโลหิตส่องประกายความกระหายเลือด ไป๋เฉินพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอดเพื่อสงบสติอารมณ์

จากนั้นเขาลากร่างที่เบาหวิวของฉินหมิงหยวนออกจากห้องใต้ดินไป

.

.

.

เช้าวันรุ่งของวันถัดไปหน้าอาคารตระกูลฉิน เสียงมากมายพัลวันกรีดร้องดังสนั่น ฝูงชนจากภายนอกกว่าร้อยชีวิตกำลังล้อมวงมองขึ้นไปอย่างหวาดกลัว และหนึ่งในนั้นมีร่างของหญิงสาวในอาภรณ์สีบานเย็นที่แสดงสีหน้าสะใจถึงขีดสุด

เพราะฉากที่ปรากฏตรงหน้าคือร่างผอมซูบที่มิอาจบอกได้ว่าเป็นผู้ใดห้อยโตงเตงอยู่เหนือประตูสูงตระกูลฉินด้วยเชือกสามเส้น แต่การแต่งกายด้วยอาภรณ์สีฟ้าสามารถบ่งบอกได้ว่าร่างนั้นคือฉินหมิงหยวนที่สิ้นชีพไปเสียแล้ว!

"ร่างนี้คือผู้ใดกัน?"

"นั่นคือนายน้อยฉิน!"

"ฉินหมิงหยวน! ฉินหมิงหยวนตกตายไปแล้ว!"

"ไป! ไป! ไปเรียกผู้นำมาเร็วเข้า!"

การกระทำเช่นนี้ไม่ต่างจากการตบหน้าตระกูลฉินฉาดใหญ่ สังหารสมาชิกตระกูลฉินและแขวนประจานไว้เบื้องหน้าตระกูลฉิน แน่นอนว่าตระกูลฉินจะได้รับความอัปยศอดสูสุดขีด!

"เกิดอะไรขึ้น!?" จู่ๆฉินเหยียนตะโกนออกมาเสียงดัง ทันใดนั้นสายตาประสบเข้ากับร่างไร้วิญญาณของชายหนุ่มที่ถูกแขวนไว้เหนือประตู

ในวินาทีเดียวกันฉินฟงก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างพร้อมเพรียง เมื่อสังเกตเห็นภาพอันน่าอเนจอนาถตรงหน้า มันพลันกระอักเลือดออกมาด้วยความสิ้นหวัง

ฉินเหยียนพุ่งทะยานตัดเชือกหนาสามเส้นลงมา พร้อมอุ้มร่างของฉินหมิงหยวนไว้ จู่ๆสายตาของเขาพบเข้ากับม้วนกระดาษที่คาบอยู่ในปากของฉินหมิงหยวน

ภายในม้วนกระดาษมีใจความอยู่ว่า :

ฉินหมิงหยวนพยายามกดขี่ตระกูลข้าราชบริพารของตระกูลฉินที่มีธุรกิจค้าขายร่วมกันผ่านทางค่าคุ้มครองเป็นสื่อกลางโดยใช้อำนาจและชื่อเสียงของตระกูลฉินในทางที่มิชอบ

ซ้ำยังลักพาตัวหญิงสาวงดงามจากตระกูลข้าราชบริพารต่างๆเพื่อกระทำการย่ำยีขืนใจโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม หลังจากนั้นมันได้ขายหญิงสาวที่มันเล่นจนสาแก่ใจให้แก่ซ่องบุปผา และแม้แต่เจ้าเฒ่าฉินฟงก็ยังลิ้มลองหญิงสาวต่อจากมันอีกด้วย ฮี่ฮี่ฮี่ฮี่ ช่างเป็นตระกูลฉินที่มีอำนาจล้นฟ้าอะไรเยี่ยงนี้!

ภายในมีการอธิบายชื่อตระกูลที่ถูกกดขี่ไม่ต่ำกว่าสิบตระกูลและผู้เสียหายที่ซึ่งเป็นหญิงสาวไม่น้อยกว่ายี่สิบนาง! 

รวมถึงผู้สมรู้ร่วมคิดในการลักพาตัวมาให้ฉินหมิงหยวนรวมสี่คน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือพ่อบ้านของฉินฟงเอง

ทั้งหมดนี้คือวีรกรรมอันระยำตำบอนของฉินหมิงหยวนที่ใช้อำนาจชื่อเสียงของตระกูลฉินไปในทิศทางที่ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างรุนแรง

เมื่อได้อ่านข้อความในม้วนกระดาษจนจบ สีหน้าของฉินเหยียนแดงก่ำด้วยความเดือดดาล จนเขาเผลอสบถออกมา "เจ้าสัตว์เดรัจฉาน! มันสมควรตาย!" 

เสียงตะโกนของฉินเหยียนดังลั่นสนั่นปลุกทุกผู้คนในตระกูล 

ตามมาด้วยร่างของฉินเยว่ฉานและฉินเหวินเทียนที่วิ่งออกมาอย่างหน้าตาตื่น

ตรอกซอยเล็กๆเบื้องหลังตระกูลฉิน ร่างสีขาวของไป๋เฉินเดินออกมาพลางหาวอย่างสลึมสลือด้วยสีหน้าใสซื่อบริสุทธิ์ราวกับเด็กหนุ่มที่อยากรู้อยากเห็น

เขามองตรงไปยังใบหน้าที่สิ้นหวังของฉินฟงด้วยรอยยิ้มนุ่มนวล "ฉินฟง นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น ต่อจากนี้จะมีบางสิ่งที่สนุกกว่านี้ให้เจ้าได้ดูอีกมากมายเกินว่าเจ้าจะจินตนาการได้"

"ความสิ้นหวังยังไม่สิ้นสุด เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งฆ่าตัวตายไปเสียก่อน..."