ไป๋เฉินหันเหสายตาไปยังร่างที่หลับสนิทของฉางเอ๋อร์ที่แนบชิดกับตน และพบเจอเข้ากับรอยเปรอะของเลือดสีแดงบริเวณผ้าห่ม มุมปากของเขาอดไม่ได้ที่จะกระตุกอย่างหนัก
"นางตั้งใจจะมาสังหารข้า แต่กลับกลายเป็นว่า..." ไป๋เฉินเพียงถอนหายใจยาวเฟื้อยก่อนจะเอื้อมมือไปห่มผ้าให้แก่ฉางเอ๋อร์อย่างมิดชิด
ไป๋เฉินพยายามลุกขึ้นอย่างทุลักทุเลและพยายามที่จะลืมเลือนเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เนื่องจากยังมีสิ่งที่เขาต้องทำอยู่
ร่างกายของเขาเบาหวิวราวกับกำลังลอยเหนือพื้น จนเดินกระเผลกออกข้างและแทบจะคงสมดุลไว้ไม่อยู่ พร้อมกับยกถุงน้ำขึ้นมาดื่มจนหมด
เมื่อทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นว่ายังเป็นยามราตรีอยู่ นั่นหมายความว่าภายในเวลานี้หลวนซิงคงจะลงมือเข้าบุกรุกตระกูลหยางไปแล้ว
ไป๋เฉินสวมอาภรณ์สีดำกลับตามเดิม พลางเดินออกไปหยุดหน้าต้นโพธิ์ต้นใหญ่ พร้อมทั้งกล่าวลอยๆด้วยรอยยิ้มบางเบา "ฉางเฟิง ลุงเซี่ย พวกท่านทั้งสองออกมาเถิด ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนข้าอีกต่อไป"
แม้นว่าไป๋เฉินกำลังต่อสู้กับฉางเอ๋อร์อย่างดุเดือด แต่ประสาทสัมผัสการได้ยินของเขาก็ยังทำงานได้เป็นอย่างดี และได้ยินการสนทนาของทั้งสองที่หลบซ่อนอยู่หลังต้นโพธิ์ต้นใหญ่ก่อนหน้า
และด้วยความทรงจำของไป๋เฉินคนเก่าจึงสามารถรับรู้ได้ทันทีว่านั่นเป็นเสียงของฉางเฟิงและลุงเซี่ยอย่างไม่ผิดเพี้ยน
หากเขามิได้ยินทั้งสองสนทนากันเขาคงไม่รู้เป็นแน่ว่าสองคนที่คอยปกป้องเขาอย่างลับๆมิใช่บุคคลจากตระกูลฉิน แต่กลับกลายเป็นสมาชิกในตระกูลไป๋ที่เคยเป็นผู้ติดตามของไป๋หนานเทียนมาก่อน
แต่เมื่อผ่านไปสิบลมหายใจกลับไม่มีผู้ใดปรากฏตัวขึ้น ไป๋เฉินส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้ก่อนที่เขาจะขยับฝีเท้าปราดเปรียวปรากฏขึ้นด้านหลังต้นโพธิ์สูงใหญ่ในชั่วพริบตา
เบื้องหน้าของเขาคือชายสองคนที่กำลังหันหลังแก่เขาราวกับไม่รู้ว่าไป๋เฉินได้มาปรากฏตัวที่ด้านหลังแล้ว
ไป๋เฉินจึงกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มหยอกล้อ "ฮั่นแน่! ฉางเฟิง ลุงเซี่ย มองอะไรกันอยู่?"
"ว๊าย!" ฉางเฟิงและลุงเซี่ยที่พยายามปกปิดตัวตนก็อดไม่ได้ที่จะสะดุ้งโหยง พวกเขาหันหลังกลับมามองอย่างตกตะลึง เมื่อเห็นว่าไป๋เฉินปรากฏอยู่เบื้องหลังโดยที่พวกเขามิอาจสัมผัสถึงรัศมีได้แม้แต่น้อย
"นะ-นายน้อย!" ฉางเฟิงและลุงเซี่ยกระโดดถอยหลังพลันอุทานอย่างไม่เชื่อ
ไป๋เฉินเพียงเผยรอยยิ้มจางๆ "ข้าเอง เป็นไปได้ไหมว่าพวกท่านลืมข้าไปเสียแล้ว"
ลุงเซี่ยเอ่ยถามโดยพลัน "ทะ-ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเป็นพวกข้า?"
"ข้าได้ยินพวกท่านคุยกันในขณะที่ข้ากำลัง..." ไป๋เฉินตัดบทสนทนาพลางผายมืออย่างช่วยไม่ได้ แต่ใบหน้าของเขาไม่มีความละอายใจแม้แต่น้อย
"แค่ก! แค่ก! แค่ก!" ฉางเฟิงสำลักน้ำลายอย่างหนักราวกับว่าเป็นวัณโรค
'ปกติแล้วนายน้อยแทบจะไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลยมิใช่หรือ?'
'แล้วเหตุใดจู่ๆจึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกัน?'
พวกเขาเฝ้าระวังและคอยปกป้องไป๋เฉินตั้งแต่ตระกูลไป๋ล่มสลายไปนอกเสียจากหากไป๋เฉินอยู่ในอาณาบริเวณตระกูลฉิน แต่กลับไม่มีอากัปกิริยาใดที่จะบ่งบอกว่าไป๋เฉินเป็นบุคคลเช่นนี้แม้แต่น้อย
แต่แตกต่างกันกับลุงเซี่ยที่สังเกตเห็นบางสิ่งที่แปลกประหลาดออกไป เขาจึงเอ่ยถามด้วยแววตาสับสน "นายน้อย? ปราณของท่าน?"
ไป๋เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะผายมือแสดงให้เห็นถึงพลังปราณโลหิตที่ไหลเวียนเป็นพายุโลหิตขนาดย่อม "ถูกต้อง ข้าสามารถกลับมาบำเพ็ญปราณได้แล้ว"
"อะไร!"
"อะไร!"
ฉางเฟิงและลุงเซี่ยอุทานอย่างพร้อมเพรียง ใบหน้าของพวกเขากลับแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงจากความตื่นเต้นอย่างยิ่งยวด
"ไปนั่งคุยกันเถอะ ข้าไม่ได้เจอพวกท่านมาจะสองปีแล้ว" ไป๋เฉินชักชวนทั้งสองให้มานั่งตรงลานบ้านก่อนจะกล่าวถามสารทุกข์สุขดิบอยู่นานสองนาน
จนเวลาล่วงเลยผ่านไปเกือบจะหนึ่งก้านธูป...
ผลสุดท้ายเขาก็เข้าใจว่าเหตุใดทั้งสองจึงไม่ปรากฏกายให้ตนเห็น เมื่อไป๋เฉินเข้าใจทุกสิ่งได้อย่างแจ่มแจ้ง เขาถอนหายใจเบาๆ "ตลอดเวลาข้าสัมผัสได้ว่ามีคนกำลังปกป้องข้าอยู่ทุกขณะ แต่ข้าไม่คาดคิดว่าจะเป็นพวกท่าน"
"ที่ข้าทำไปก็เพียงเพื่อสืบค้นบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับยุทธการมังกรเขมือบ และข้าไม่ต้องการให้ท่านเข้ามามีส่วนเอี่ยวกับพวกข้า ดังนั้นพวกข้าทำได้เพียงปกป้องท่านอย่างลับๆเท่านั้น" ฉางเฟิงถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
การมีอยู่ของพวกเขาอาจจะทำให้ไป๋เฉินตกเป็นเป้าหมายได้ แต่ทว่าเมื่อไป๋เฉินรับรู้ถึงการมีอยู่ของพวกเขาแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องปิดบังสิ่งใดอีกต่อไป
ไป๋เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้มเข้าใจก่อนจะกล่าว "ไม่จำเป็นต้องสืบค้นอีกต่อไป เพราะข้ารู้ตัวตนที่แท้จริงของผู้อยู่เบื้องหลังแล้ว"
ฉางเฟิงและลุงเซี่ยมองหน้ากันครู่หนึ่ง ก่อนจะที่ฉางเฟิงจะกล่าวถามนำร่อง "เป็นไปได้ไหมว่า?"
"ดูเหมือนว่าพวกท่านคงจะตะขิดตะขวงใจมาตั้งนานแล้ว ถูกต้อง! บุคคลที่ส่งข่าวตำแหน่งที่ซ่อนของข้าให้แก่ศัตรูคือฉินฟง" ไป๋เฉินตัดสินใจบอกกล่าวพวกเขาโดยไม่ลังเล รวมถึงการตายของฉินหมิงหยวนและการสอบปากคำในครั้งนั้น
ในความทรงจำของไป๋เฉินที่เหลืออยู่บ่งบอกว่าบุคคลที่เชื่อใจได้นอกจากสายเลือดในครอบครัวของเขาก็มีเพียงลุงเซี่ย ฉางเฟิงและฉินเหยียนเท่านั้น
ฉางเฟิงที่ได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะกัดฟันด้วยแววตาเย็นชา "ฉินฟง! เป็นมันจริงๆ!"
ลุงเซี่ยเลือดขึ้นหน้าอย่างฉับพลันเขาหันหลังทำท่าจะจากไป "ข้าจะไปฆ่ามัน!"
แต่ไป๋เฉินโบกมือหยุดยั้งไว้ก่อนจะกล่าวด้วยใบหน้าสุขุม "ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ข้าได้มีการวางแผนการไว้ทุกอย่างแล้ว"
เมื่อทั้งสองสงบสติอารมณ์ได้ ฉางเฟิงจ้องมองใบหน้าไป๋เฉินอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยคำถามที่น่ากระอักกระอ่วนใจ "นายน้อย? แลัวสตรีที่อยู่ในกระโจมของท่านคือใครกัน?"
ไป๋เฉินเพียงตอบสั้นๆอย่างไม่ใส่ใจ "นักฆ่า"
"อะไร!"
"อะไร!"
ภายในวันเดียวฉางเฟิงและลุงเซี่ยอุทานไปนับสามครั้งแล้ว จนพวกเขาอดคิดไม่ได้ว่ากำลังฝันอยู่หรือไม่?
ไป๋เฉินที่ไร้รากปราณไร้ประโยชน์กลับกลายมาเป็นผู้บำเพ็ญปราณระดับปฐพี
พวกเขาได้รู้ว่าแท้จริงแล้วฉินฟงเป็นผู้อยู่เบื้องหลังของการล่มสลายของตระกูลไป๋
และสุดท้ายฉางเอ๋อร์ที่เป็นนักฆ่ากลับกลายเป็นว่านางได้เสียกับไป๋เฉินเสียอย่างนั้น
ไป๋เฉินชี้กลับไปยังด้านหลังกระโจมพลางกล่าวต่อ "และอีกอย่าง นางยังเป็นตัวหมากที่สำคัญอย่างยิ่ง"
แม้นว่าฉางเฟิงและลุงเซี่ยจะไม่เข้าใจ แต่ไป๋เฉินก็มิได้อธิบายอันใดต่อ
ในระหว่างที่ทั้งสามกำลังพูดคุยกันด้วยบรรยากาศเป็นมิตร กลับมีเสียงโหวกเหวกของความวุ่นวายเกิดขึ้นในทิศทางของตระกูลหยางดังสนั่นราวกับกำลังมีการต่อสู้ครั้งใหญ่
"ตู้ม!"
"ตู้ม!"
"ตู้ม!"
ไป๋เฉินตอบสนองหันขวับมองไปยังทิศทางของเสียง
ปรากฏว่าเสียงของการต่อสู้ดังขึ้นจากอาณาเขตของตระกูลหยาง
เมื่อตระหนักได้เช่นนั้นการแสดงออกของไป๋เฉินกลับกลายเป็นร้ายแรง เขารีบหลับตาลงและหมุนเวียนเคล็ดวิชาตราประทับโลหิตที่วางไว้บนร่างของหลวนซิงโดยพลัน
หลังจากผ่านไปสามลมหายใจ เขาก็สัมผัสได้ว่าหลวนซิงยังคงอยู่ที่ตระกูลหยาง! นั่นหมายความว่าเขาถูกเจอตัวเข้าแล้ว!
หากหลวนซิงสามารถขโมยหยกสีม่วงและสังหารผู้ที่เฝ้าอยู่ได้โดยที่หยางลั่วไม่รู้ตัว คงจะไม่เกิดเสียงการต่อสู้ที่รุนแรงถึงเพียงนี้ นั่นหมายความว่าหลวนซิงอาจจะกำลังตกอยู่ในอันตราย!
ไป๋เฉินรีบเร่งกล่าวแก่ทั้งสองอย่างเร่งด่วน "พวกท่านทั้งสองตามข้ามา หลังจากนี้ข้ามีสิ่งที่ต้องการให้พวกท่านทั้งสองช่วยเหลือข้า ระหว่างทางข้าจะอธิบายทุกอย่างให้พวกท่านเข้าใจ"
เมื่อเห็นความรีบร้อนนั้นฉางเฟิงและลุงเซี่ยพยักหน้าอย่างไม่ลังเล ไป๋เฉินยืนขึ้นพร้อมทั้งหยิบหน้ากากไหมสีดำมาสวมใส่ก่อนจะกระโดดข้ามกำแพงตระกูลฉินอย่างเร่งด่วน และตรงไปยังตำแหน่งของหลวนซิงที่เขาได้วางตราประทับไว้
"พรึ่บ!"
"พรึ่บ!"
"พรึ่บ!"
เมื่อร่างของทั้งสามหายลับไป บรรยากาศรอบๆก็กลับมาเงียบสงบเช่นเคย
ภายในกระโจมหลังโทรมดวงตาที่ปิดสนิทของฉางเอ๋อร์ค่อยๆเบิกอย่างยากลำบาก นางที่เผอิญได้ยินการสนทนาเมื่อครู่ก็อดไม่ได้ที่จะกัดริมฝีปากจนเลือดไหล พร้อมกับพึมพำด้วยริมฝีปากที่สั่นเครือ "ตัวหมาก...แท้จริงแล้วเขาต้องการใช้ข้าเป็นตัวหมากเท่านั้น...หรือ?"
หยาดน้ำตาราวกับไข่มุกบริสุทธิ์ค่อยๆไหลลงมาอาบที่แก้มสีชมพูของนางด้วยอารมณ์ที่ยากจะคาดเดา เมื่อนึกถึงคำพูดนั้นอีกคราประดุจดั่งว่าหัวใจของนางถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ!
แต่ด้วยความอ่อนล้าและความเจ็บปวด นางจึงผล็อยหลับไปอีกคราโดยมิอาจขยับเขยื้อนร่างกายไปไหนได้
.
.
.
ร่างสีดำอันมืดมิดของไป๋เฉินพุ่งผ่านกำแพงและตรอกซอยเล็กๆอย่างช่ำชองในสถานที่ที่แสงจันทร์มิอาจสาดส่องได้ถึง แม้แต่ฉางเฟิงและลุงเซี่ยแทบจะติดตามเขาไปไม่ทัน
แสงสีดำทมึนสามร่างกระพริบแวววาวราวกับกำลังหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับความมืดมิด
"นายน้อย พวกเราจะไปที่ไหนกัน?" ฉางเฟิงเปล่งเสียงหอบเบาๆพลางเอ่ยถาม
ไป๋เฉินกล่าวในขณะกำลังเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วและตอบกลับในเวลาเดียวกัน "รอบนอกของตระกูลหยาง ข้าได้สั่งการให้พรรคพวกของข้ากระทำการบางสิ่งภายในตระกูลหยาง แต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์อาจจะเกิดความผิดพลาดเล็กน้อย"
แม้นว่าเขาจะสอนสั่งการฝึกฝนการจับประสาทสัมผัสหรือการฟังเคลื่อนไหวให้หลวนซิงไปแล้ว แต่ทว่าหลวนซิงกลับฝึกฝนได้เพียงแค่ไม่กี่วันเท่านั้น และเขาก็ยังไม่คุ้นชินกับสภาพแวดล้อมของตระกูลหยางดีพอ
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเพราะตระกูลหยางไม่แตกต่างจากถ้ำเสือ! ที่ซึ่งหลวนซิงเป็นได้เพียงแกะอ้วนในวงล้อมเท่านั้น!