"นี่คือลิขิตสวรรค์... แค่ปล่อยให้เป็นไปตามเวรตามกรรมที่พวกมันได้ก่อไว้ พวกเราไม่ควรก้าวล่วงเวรกรรมของใครและไม่ควรเอาตัวเข้าไปรับกรรมแทนผู้อื่นเช่นกัน" ไป๋เฉินชะม้ายชายตามองเหล่าผู้อาวุโสด้วยรอยยิ้ม
สายตาดูถูกเหยียดหยามที่มองไป๋เฉินก่อนหน้ากลับมลายไป หลงเหลือไว้แค่เพียงความรู้สึกเคารพขึ้นมาทีละเล็กน้อย
ที่ไป๋เฉินกล่าวมานั้นถูกต้องทุกประการ ตระกูลฉินจะไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆในการช่วยเหลือตระกูลหยาง เพราะแม้แต่ความมั่งคั่งรวมถึงกองกำลังของตระกูลหยางแทบจะไม่มีเหลืออยู่แล้ว ฉะนั้นพวกเขาจะส่งกองกำลังตระกูลฉินปกป้องตระกูลหยางที่ไร้ค่าและต้องมีความขัดแย้งกับศัตรูของตระกูลหยางเพื่ออะไร?
อย่างที่ไป๋เฉินกล่าวไว้ มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่ตัดสินใจช่วยเหลือตระกูลหยางจากหายนะที่กำลังเผชิญอยู่
การตัดสินใจของไป๋เฉินในครานี้ถือว่าเป็นการเปิดโลกทัศน์ที่พวกเขามีต่อไป๋เฉินอย่างสิ้นเชิง แต่พวกเขาก็ยังมีข้อครหาเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของไป๋เฉินอยู่ดี
และอีกอย่างฉินเหยียนยังกล่าวไว้ว่าไป๋เฉินจะเป็นผู้นำตระกูลชั่วคราวเท่านั้น การอภิปรายในครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นการปรับเปลี่ยนมุมมองด้านลบของไป๋เฉินให้หายไป
ฉินเฉิงลูบเคราและพยักหน้าอย่างพึงพอใจ "อ่านสถานการณ์ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เลือกตัวเลือกที่คำนึงถึงตระกูลฉินมาเป็นอันดับแรก รวมถึงการชี้แจ้งข้อเท็จจริงที่ตระกูลหยางมีต่อตระกูลฉินของพวกเรา ท่านผู้นำกล่าวได้ถูกต้องแล้ว... หากมิใช่มิตรสหาย ไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น"
"ตระกูลหยางไม่เคยให้ความช่วยเหลือตระกูลฉิน แล้วตระกูลฉินมีเหตุผลอันใดในการให้ความข่วยเหลือตระกูลหยาง... " ฉินเหยียนเองก็เห็นชอบเช่นกัน "ประโยคนี้สามารถอธิบายเหตุผลในตัวเลือกของไป๋เฉินได้อย่างแจ่มแจ้ง"
ฉินเยว่ฉานและฉินเหวินเทียนมองไปยังไป๋เฉินด้วยแววตาเป็นประกาย 'ไป๋เฉินจะได้เฉิดฉายก็คราวนี้แหละ'
เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง ไป๋เฉินจึงกระแอมเบาๆ "พวกท่านที่เหลือมีความเห็นอย่างไรแตกต่างไปจากข้าบ้างหรือไม่? หากท่านคิดว่าความเห็นของท่านจะเกิดผลประโยชน์ต่อตระกูลฉินได้มากกว่าวิธีของข้า ก็แค่เอ่ยออกมาไม่จำเป็นต้องเกรงใจ"
แต่เหล่าผู้อาวุโสทั้งเจ็ดส่ายศีรษะอย่างพร้อมเพรียง พวกเขาทั้งหมดเข้าใจวัตถุประสงค์ของไป๋เฉินอย่างรู้แจ้ง
ไป๋เฉินชำเลืองมองฉินซื่อและฉินฟงด้วยหางตา พลางกล่าวอย่างยิ้มแย้ม "ผู้อาวุโสฉินซื่อและผู้อาวุโสฉินฟง พวกท่านมีสิ่งใดจะชี้แจ้งและต้องการเสนอแนะอีกหรือไม่?"
ฉินฟงทำได้เพียงกัดฟันอย่างเดือดดาลภายในใจ
ผลสุดท้ายมันจำต้องประสานมืออย่างไม่สบอารมณ์ "ที่ท่านกล่าวมาถูกต้องแล้ว"
ฉินฟงไม่ลืมว่าตอนนี้ไป๋เฉินเป็นผู้นำตระกูล หากความจริงที่มันมีส่วนเกี่ยวข้องกับการล่มสลายของตระกูลไป๋ถูกเปิดโปงออกไป โอกาสที่มันจะรอดชีวิตนั้นแทบจะไม่ถึงหนึ่งในสิบ
เพราะเห็นได้ชัดว่าฉินเฉิงและฉินเหยียนพร้อมที่จะสนับสนุนไป๋เฉินอย่างเต็มที่ ยิ่งมันมีข้อครหามากเท่าใด นั่นก็จะกลายเป็นเหตุผลให้ไป๋เฉินโจมตีมันได้มากขึ้นเท่านั้น
และบัดนี้ความไว้วางใจของมันต่อฉินเหยียนก็แทบจะขาดสะบั้นลง มันจะไม่ทำอะไรโง่ๆอย่างการต่อต้านไป๋เฉินในยามนี้แน่นอน นั่นเป็นเพราะฉินเหยียนรู้ดีว่ามันเป็นคนที่สั่งห้ามตระกูลฉินไว้มิให้ไปช่วยเหลือตระกูลไป๋ในยามยาก
"เอาล่ะ ในเมื่อพวกท่านเข้าใจแล้ว เช่นนั้น..." ไป๋เฉินลุกขึ้นด้วยอิริยาบถสุภาพพลันประสานมือไปยังฉินเฉิงด้วยแววตาลึกล้ำ "ผู้อาวุโสสูงสุด ในฐานะที่ข้าได้รับเลือกเป็นผู้นำชั่วคราว ข้าสามารถวานท่านให้ช่วยเหลือข้าบางอย่างได้หรือไม่?"
"โอ้? แค่ท่านผู้นำกล่าวมา หากอยู่ในขอบเขตของชายชราผู้นี้ ข้าก็พร้อมจะทำให้ทุกอย่าง" ฉินเฉิงประสานมือตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่เหี่ยวย่น
ฉินเหยียนและคนอื่นๆครรลองมองอย่างแปลกใจ ว่าเหตุใดเฒ่าหัวรั้นอย่างฉินเฉิงกลับฟังคำสั่งของไป๋เฉินโดยไร้ข้อกังขาเช่นนี้
"เช่นนั้นข้าขอขอบคุณท่านล่วงหน้า" หลังจากคลายการประสานมือ ไป๋เฉินล้วงเข้าไปในอาภรณ์สีดำและออกมาพร้อมกับม้วนกระดาษเล็กๆหนึ่งแผ่นพลันยื่นให้แก่ฉินเฉิงอย่างสุภาพ "ข้าต้องการให้ท่านไปตามหาสมุนไพรข้างต้นนี้ นี่คือสมุนไพรทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการที่จะสามารถรักษารากปราณของข้าได้"
"ไป๋เฉิน! เจ้ามีวิธีรักษารากปราณแล้วงั้นหรือ?" สีหน้าที่ซีดขาวของฉินเหยียนสว่างจ้า แม้แต่ฉินเยว่ฉานและผู้อาวุโสทั้งหมดก็แสดงสีหน้าประหลาดใจ
ไป๋เฉินพยักหน้าให้แก่ฉินเหยียนเบาๆ "ถูกต้อง บุคคลที่บอกวิธีการรักษาคือแพทย์จากแผ่นดินใหญ่ผู้นั้น แม้นเขาจะไม่สามารถรักษาให้ข้าได้เนื่องจากข้อจำกัดของระยะเวลาในการรักษา แต่ทว่าหากข้ารักษาและซื้อสมุนไพรมาปรุงโอสถและใช้วิธีการที่แพทย์ผู้นั้นกล่าวไว้ อีกคงไม่เกินหนึ่งเดือนข้าอาจจะกลับมาฝึกฝนได้"
"โอ้? เช่นนั้นก็เป็นเรื่องที่น่าเฉลิมฉลอง ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า" ความกังวลและความหนักอกหนักใจของฉินเหยียนถูกคลายออกโดยสมบูรณ์ แม้นว่าเขาจะมีอาการเจ็บป่วยที่รักษาไม่หาย แต่หากไป๋เฉินสามารถกลับมาฝึกฝนได้ อนาคตของตระกูลฉินจะไม่สิ้นสุดลงเท่านี้เป็นแน่
สิ่งที่เขาหนักอกหนักใจที่สุดก็กลับกลายเป็นผ่อนคลาย 'พี่ไป๋ ข้าหวังว่าสิ่งนี้จะช่วยลดความอัดอั้นตันใจในจิตใต้สำนึกของไป๋เฉินลงได้บ้าง'
ตลอดสองปีที่ไป๋เฉินถูกปรามาสว่าเป็นขยะมาโดยตลอดจะสิ้นสุดลงในเร็วๆนี้งั้นหรือ?
แน่นอนว่ามีผู้อาวุโสบางส่วนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลไป๋ย่อมต้องการให้ไป๋เฉินกลับมาบำเพ็ญปราณได้ดั่งเก่า เพราะพวกเขาบางส่วนยังคงรู้สึกผิดอยู่ในใจที่ทำให้ตระกูลไป๋ล่มสลายไป
ในขณะสีหน้าของเหล่าผู้อาวุโสเบิกบาน ฉินเฉิงรับม้วนกระดาษจากมือของไป๋เฉินอย่างฉงน ก่อนจะคลี่มันออกอ่าน แต่ทว่าสีหน้าที่ยิ้มแย้มกลับขมวดคิ้วอย่างหนักและมองไปยังไป๋เฉินราวกับการสอบถามย้ำโดยที่มิได้เอ่ยถาม
ไป๋เฉินยิ้มและพยักหน้ารับอย่างหนักหน่วงเป็นคำตอบ จนฉินเฉิงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาวพลันเก็บม้วนกระดาษไว้เป็นอย่างดีและกลบเกลื่อนการแสดงออกทางสีหน้าได้อย่างเป็นมืออาชีพ "ข้าอาจจะใช้ระยะเวลานานสักเล็กน้อยในการตามหาสมุนไพรทั้งหมดนี้ แต่หากข้าใช้เส้นสายและออกตามหาสมุนไพรด้วยตัวข้าเอง คาดว่าอีกประมาณสองสัปดาห์วัตถุดิบที่ท่านเขียนไว้จะมาถึงมือของท่านโดยทันที"
"ข้าไม่ติดขัดอันใด แม้นจะเสียเวลาเล็กน้อยกว่าข้าจะกลับมาฝึกฝนได้ แต่ก็คุ้มค่าที่จะรอ" ไป๋เฉินโบกมือเบาๆอย่างไม่ใส่ใจ
โดยหารู้ไม่ว่าสีหน้าของฉิงฟงบิดเบี้ยวจนแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วง!
'รอช้ากว่านี้ไม่ได้แล้ว! แม้นจะยังไม่ถึงเวลาสุกงอม แต่ข้าก็มิอาจปล่อยให้ไป๋เฉินกลับมาฝึกฝนพลังปราณได้!'
ฉินเฉิงเป็นบุคคลแรกที่ยืนขึ้นประสานมืออย่างนอบน้อมไปยังทิศทางของไป๋เฉินอีกครา "ขอแสดงความยินดีล่วงหน้าแด่ท่านผู้นำ"
"ขอแสดงความยินดีล่วงหน้าแด่ท่านผู้นำ"
"ขอแสดงความยินดีล่วงหน้าแด่ท่านผู้นำ"
"ขอแสดงความยินดีล่วงหน้าแด่ท่านผู้นำ"
"ขอแสดงความยินดีล่วงหน้าแด่ท่านผู้นำ"
"....."
ตามมาด้วยเสียงตะโกนแสดงความยินดีเรียงลำดับจากเหล่าผู้อาวุโสที่เห็นชอบในความสามารถการอ่านแผนการของไป๋เฉินอย่างทะลุปรุโปร่ง
จากความเคลือบแคลงใจกลับกลายเป็นการยอมรับตัวตนในฐานะผู้นำตระกูลของไป๋เฉินไปโดยสมบูรณ์
ค่ำคืนนั้นเป็นค่ำคืนแห่งการเฉลิมฉลองที่มิได้มีมาหลายปีภายในตระกูลฉิน พวกเขาต่างก็กินดื่มเฉลิมฉลองให้แก่ไป๋เฉินกันถ้วนหน้า
และรุ่งสางของวันต่อมา ฉินเฉิงได้ควบม้าออกจากตระกูลฉินไปพร้อมกับทิ้งจดหมายไว้ให้ฉินฟงรับหน้าที่และตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดแทนตัวของเขาเป็นการชั่วคราว
"ข้าจะเดินทางไปยังเมืองเทียนเหล่ยและเมืองเทียนเตี้ยนเพื่อรวบรวมสมุนไพรให้แก่ผู้นำไป๋ เพราะฉะนั้นหน้าที่ในการควบคุมเหล่าผู้อาวุโสจะตกเป็นหน้าที่ของเจ้า อีกไม่เกินสองสัปดาห์ข้าจะรีบกลับมา"
ภายในวันเดียวกันนั้นข่าวสำคัญครั้งใหญ่ของเมืองเทียนหยุนก็ถูกปล่าวประกาศออกไปปากต่อปาก
ฉินเหยียนมีอาการป่วยอย่างเฉียบพลันและยังไร้หนทางรักษา เขาจึงได้แต่งตั้งให้ไป๋เฉินดำรงตำแหน่งผู้นำตระกูลฉินชั่วคราว
แต่ทว่าตำแหน่งของไป๋เฉินมิใช่เพียงผู้นำตระกูลฉินเท่านั้นหากคิดในอีกแง่มุมหนึ่ง แต่มันคือการมอบตำแหน่งเจ้าเมืองของเมืองเทียนหยุนให้แก่ไป๋เฉินเป็นผู้ดูแลอย่างสมบูรณ์
แน่นอนว่ามีใครหลายๆคนย่อมไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งในการดำรงตำแหน่งของไป๋เฉิน แต่ทว่ามีข่าวใหญ่อีกข่าวหนึ่งแพร่กระจายมาว่า ไป๋เฉินจะกลับมาบำเพ็ญปราณได้ดั่งเก่าหลังจากที่ผู้อาวุโสสูงสุดฉินเฉิงกลับมา และเหล่าผู้อาวุโสจากตระกูลฉินก็เห็นชอบไปในทางเดียวกันและพร้อมจะสนับสนุนไป๋เฉินอย่างเต็มที่
หลังจากนี้ข่าวคราวเกี่ยวกับขยะของเมืองเทียนหยุนจะถูกลบล้างให้หายไป แต่แน่นอนว่าการประโคมข่าวใหญ่โตเช่นนี้ย่อมไปถึงหูของผู้มีอำนาจบางกลุ่ม...