ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร

ตอนที่ 211 อำนาจกดดัน (2)

ตลอดเวลาฉินอวี่เยียนปิดปากเงียบ ไม่พูดอะไรออกมาเลยสักคำ นางเพียงแค่นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ พร้อมกับรอยยิ้มที่อ่อนโยนบนใบหน้าของนาง

เมื่อได้ยินคำพูดของเจียงเฉินชิง สีหน้าของมั่วเฉี่ยนยวนก็แข็งทื่อ เขารีบร้อนพูดว่า “นี่…ข้าเกรงว่าจะไม่ใช่ความคิดที่ดีสักเท่าไหร่กระมัง บรรพบุรุษของเราได้ถูกฝังพักผ่อนอย่างสงบอยู่ใต้ดินแล้ว หากพวกเราไปขุดหลุมฝังศพเวลานี้ นี่มันออกจะ..."

เมื่อได้ยินคำพูดของเจียงเฉินชิง สีหน้าของมั่วเฉี่ยนยวนก็แข็งทื่อ เขารีบร้อนพูดว่า “นี่…เกรงว่าไม่ดีเท่าไหร่กระมัง บรรพบุรุษของเราได้ถูกฝังพักผ่อนอย่างสงบอยู่ใต้ดินแล้ว ไปเปิดหลุมฝังศพเวลานี้ นี่มันออกจะ..."

"คนตายไม่นับ ฝ่าบาทเหตุใดต้องกวนใจเพราะเรื่องนี้ด้วย" ฉินอวี่เยียนพูดขึ้นเบาๆ "อดีตฮ่องเต้กับจวินกู้ตายไปนานแล้ว ในเมื่อพวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับโลกนี้อีก ไยฝ่าบาทต้องให้รัฐชีมาเสี่ยงอันตรายเพื่อคนที่ตายไปแล้วสองคนนั้นด้วย"

มั่วเฉี่ยนยวนตกตะลึงไปอย่างสมบูรณ์ เขามองไปที่ฉินอวี่เยียนอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เขาเพิ่งได้ยิน

เมื่อสักครู่นี้เขาได้ยินว่าอย่างไรนะ

ทำให้ทั้งรัฐชีต้องเสี่ยงตกอยู่ในอันตรายอย่างนั้นหรือ

คำพูดนี้กำลังข่มขู่กันอย่างเห็นได้ชัด!

มั่วเฉี่ยนยวนไม่เคยคาดหวังว่าฉินอวี่เยียนที่ดูสุภาพอ่อนโยนจะพูดอะไรที่รุนแรงโหดร้ายกว่าเจียงเฉินชิงออกมา

โดยไม่มีที่ว่างสำหรับการเจรจาใดๆ นางยื่นคำขาดมาให้เขาโดยตรง

หากส่งมอบยกวิญญาณ พวกเขาก็จะยอมจากไปแต่โดยดี แต่หากยังคงดื้อรั้น พวกเขาก็จะไม่เกรงใจกับรัฐชีอีก...

ในขณะนี้ มั่วเฉี่ยนยวนตระหนักได้แล้วว่าความคิดก่อนหน้านี้ของเขานั้น มันช่างไร้เดียงสาและอ่อนต่อโลกเพียงใด เขาคิดว่าผู้นำกลุ่มของสำนักชิงอวิ๋นจะสามารถเจรจาพูดคุยกันได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ

เมื่อมองไปที่เจียงเฉินชิง สลับกับไป๋อวิ๋นเซียน จากนั้นก็มองไปที่คนของกลุ่มสำนักชิงอวิ๋น มีคนไหนบ้างที่สามารถพูดคุยตกลงกันได้ง่ายๆ

มั่วเฉี่ยนยวนมาตอนนี้ถึงเพิ่งฉุกคิดได้ว่าไป๋อวิ๋นเซียนเองก็เกือบจะทำให้ทั้งเมืองหลวงแห่งนี้กลายเป็นเมืองร้างด้วยยาพิษของนาง นี่ไม่ใช่ยาพิษที่มาจากสำนักชิงอวิ๋นหรืออย่างไร...

"หากฝ่าบาทรู้สึกลำบากใจ พวกเราสามารถทำแทนได้" ฉินอวี่เยียนไม่รอคำตอบจากปากมั่วเฉี่ยนยวน นางลุกขึ้นยืน มองไปที่เจียงเฉินชิงแล้วกล่าวว่า "ลุงเจียง รบกวนเจ้าพาพวกเขาไปที่สุสานหลวงกับสุสานสกุลจวินแล้วขุดเอาหยกวิญญาณออกมาที"

"ช้าก่อน คุณหนูฉิน ท่าน..." มั่วเฉี่ยนยวนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ถูกฉินอวี่เยียนขัดจังหวะก่อนที่เขาจะพูดเสร็จ

"ฝ่าบาท ทางที่ดีอย่าได้พูดหรือคิดทำอะไรที่หุนหันพลันแล่นจะดีกว่า นี่ข้าคิดเผื่อเจ้าและรัฐชีแล้วนะ ข้าคิดว่าฝ่าบาทคงไม่อยากให้ประชาชนรัฐชีต้องประสบพบเจอกับอันตรายใดๆ ใช่หรือไม่" รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฉินอวี่เยียน แต่ภายใต้ความอ่อนโยนนั้น กลับแฝงไปด้วยความกดดันและคุกคามจนทำให้ผู้คนรู้สึกหนาวเหน็บ

เมื่อฉินอวี่เยียนพูดจบ นางก็นำคนของสำนักชิงอวิ๋นและคนอื่นๆ เดินออกจากท้องพระโรงไป

รอจนกระทั่งคนของสำนักชิงอวิ๋นกลับออกไปหมดแล้ว ขุนนางคนอื่นๆ ที่เฝ้าอยู่ข้างนอกถึงทยอยกลับเข้ามาในท้องพระโรงด้วยแข้งขาที่สั่นระริก ยิ่งเมื่อพวกเขาได้เห็นการแสดงออกที่มืดมนบนใบหน้าของมั่วเฉี่ยนยวน พวกเขาก็ปิดปากสนิทอย่างรู้งาน ไม่กล้าถามว่าทำไมคนพวกนั้นถึงบุกมาหาแต่เช้าตรู่ขนาดนี้

ทั่วทั้งท้องพระโรงเงียบสงัด มั่วเฉี่ยนยวนประทับนั่งบนบัลลังก์อย่างเหม่อลอย มองตามแผ่นหลังของคนของสำนักชิงอวิ๋นที่จากไปด้วยหัวใจที่หนาวเหน็บและชาไปหมด

ข้าต้องได้หยกวิญญาณและข้าจะไม่มีวันมอบมันให้กับผู้อื่น เจ้าคิดว่าการที่ข้าฆ่าพวกเขาโดยไม่มีเหตุผลมันโหดร้ายเกินไปใช่หรือไม่ ถ้าอย่างนั้นเราก็มาดูกันว่าหากสำนักชิงอวิ๋นรู้ว่าหยกวิญญาณอยู่ที่พวกเรา แต่พวกเราไม่ยอมมอบให้พวกเขาแล้ว พวกเขาจะทำเช่นไร...

คำพูดของจวินอู๋เสียเมื่อคืนวานลอยเข้ามาในหัวของเขา เขายังจำแววตาที่นางมองมาเวลานั้นได้ดี ตอนที่นางพูดประโยคนี้นางดูมั่นใจอย่างยิ่ง

มั่วเฉี่ยนยวนอยู่ๆ ก็อยากจะหัวเราะ จวินอู๋เสียคงรู้และมองสันดานของสำนักชิงอวิ๋นออกนานแล้วกระมัง ไม่อย่างนั้นนางคงไม่เดิมพันแบบนั้นกับเขา

ตรงกันข้าม เป็นตัวเขาเองต่างหากที่น่าหัวร่อ ทั้งที่เคยมีประสบการณ์ถูกอดีตฮ่องเต้กับมั่วเซวี่ยนเฝ่ยทำร้ายมานาน ทำไมเขาจะต้องเก็บความเมตตาที่ไร้สาระพวกนี้ไว้ให้กับคนไร้ค่าพวกนั้นด้วย

จวินอู๋เสีย เป็นเขาที่โง่เองไม่ต้องสงสัยใครเลย...

ท่ามกลางท้องพระโรงยามเช้าที่เงียบสงัด เสียงหัวเราะที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เรียกสายตาจากเหล่าขุนนางให้พร้อมใจกันมองไปที่ฮ่องเต้ที่กำลังหัวเราะร่วนด้วยความตกตะลึง